วิวัฒนาการลูกหนังในปัจจุบัน เรามักจะได้เห็นแท็คติกที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้น จากการใช้เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ รวมไปถึงข้อมูลข่าวสาร เพื่อนำมาพัฒนาวงการฟุตบอลแทบจะทั่วโลก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อรรถรสการชมฟุตบอลในยุคปัจจุบันอาจจะแตกต่างจากในอดีต

ฮาร์ดแมน สูญพันธุ์ ในฟุตบอลยุคปัจจุบัน?

ทุกวันนี้เราแทบไม่จะนึกไม่ออกเลยว่าเหล่าบรรดานักเตะขาโหด สไตล์ฮาร์ดแมนในเกมฟุตบอลระดับสูง หรือลีกชั้นนำในยุโรปในเวลานี้มีใครกันบ้าง เพราะปัจจุบันนักเตะคาแรกเตอร์แบบนี้แทบไม่มีเหลืออยู่แล้ว ฮาร์ดแมนเหล่านี้หายไปไหนกันหมด

ผู้เล่นอย่าง รอย คีน , ปาทริค วิเอร่า , เดนนิส ไวส์ , ร็อบ ซาเวจ ,ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ,พอล อินซ์ หรือ แม้กระทั่ง มาร์โก มาร์เตรัซซี่ พวกเขาเหล่านี้อาจไม่โดดเด่น หรือสำแดงฤทธิ์เดชอะไรมากนัก หากมาเล่นอยู่ในโลกฟุตบอลในปัจจุบัน เพราะฟุตบอลยุคนี้จะเน้นความสวยงามมากกว่าความดุดัน นิยามคำว่า ‘การสร้างสรรค์สวยงามมากกว่าทำลาย’ มันก็อาจใช้ไม่ได้กับนักเตะในตำแหน่งที่ต้องเสียสละเพื่อทีม

โดยเฉพาะ บทบาทมิดฟิลด์ตัวตัดเกมที่เรามักจะได้เห็นผู้เล่นขาโหดเล่นในตำแหน่งนี้อยู่เสมอๆ แต่หากสังเกตดีๆ นักเตะที่กล่าวไปข้างต้นล้วนเป็นลูกพี่ใหญ่ของแต่ละสโมสรทั้งสิ้น ก็เพราะว่าในอดีต ทีมฟุตบอลมักจะมองไปที่คาแรกเตอร์ความเป็นลูกพี่ บารมีล้นเหลือ ความมีอิทธิพลในการเลือกผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดเพราะพวกเขาเหล่านั้นพิสูจน์ให้เห็นแล้วอิทธิพลกับต้นสังกัดมากขนาดไหน อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้นักเตะประเภทฮาร์ดแมนลดน้อยลงไปทุกวัน จนแทบจะสูญพันธุ์ นั่นเป็นเพราะบริบททางสังคม

วาทกรรม “ทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพ”

วงการฟุตบอลทั่วโลกมีการรณรงค์เรื่องการต่อต้านความรุนแรงทั้งในและนอกสนาม มันก็อาจจะทำให้พวกฮาร์ดแมนบางคนฉุกคิด ก่อนจะระเบิดอารมณ์ใส่คู่แข่งแบบไร้ความปรานี วาทกรรม “ทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพ” ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มีผู้เล่นคนไหนอยากตกเป็นเหยื่อคำวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบจากสังคม

ลองนึกภาพเล่นๆ ดูว่าหาก นักเตะอย่าง วินนี่ โจนส์ ,ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ,เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ,ลูคัส นีลส์ ,ไนเจล เดอ ยอง , เฟลิเป้ เมโล่ ฯลฯ ข้ามภพมาค้าแข้งในยุคที่โซเชี่ยลมีเดียครองโลก ณ ปัจจุบัน คงรู้ไหมใช่ไหมว่าพวกเขาจะเจอกับอะไรในหน้าฟีดของตัวเอง

อย่างไรก็ตามก็ใช่ว่านักเตะในสไตล์ฮาร์ดแมนตัวทำลายล้างจะไร้ประโยชน์สำหรับทีมเลยซะทีเดียว นั่นก็เป็นเพราะว่า พวกเขานี่แหละที่ยอมเสียสละทุกอย่าง ทั้งใบเหลืองใบแดง รวมไปถึงอาการบาดเจ็บจากการเข้าปะทะ เพื่อแย่งบอลมาครอง หยุดยั้งเกมรุกคู่แข่ง และรวมไปถึงทำให้ทีมได้รับชัยชนะหรือผลการแข่งขันที่ต้องการ

นอกจากนี้เหล่าบรรดาแข้งเวอร์ชั่นฮาร์ดแมนจะยิ่งสูญพันธุ์เร็วยิ่งขึ้น เพราะเข้ามาของ VAR ที่พร้อมจะจับตา จับผิด ผู้เล่นจอมตุกติก นอกเกม เล่นสกปรกอยู่แทบทุกวินาทีในสนาม นั่นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แข้งสายโหดค่อยๆ หายไปทีละคนสองคน จนแทบไม่มีให้เห็นแล้วในโลกลูกหนังระดับชั้นนำในปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนไป หากใช้ VAR ณ ตอนนั้น

หากยกตัวอย่างในมหกรรมฟุตบอลในอดีตที่ผ่านมา ในยุคที่ยังไร้เทคโลโนยี VAR เข้ามาช่วยติดสัน มีเหตุการณ์มากมาย ที่กลายเป็นดราม่า เป็นที่้ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง นั่นจะขอยกตัวอย่างมาบางส่วน กับกรณีที่ ณ เวลานั้นหากมี VAR มาช่วยเช็ค ผลการตัดสินที่ออกมาอาจไม่เป็นเช่นนั้น

ยกตัวอย่าง เช่นในศึกฟุตบอลโลก 2002 ฉบับเอเชียที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ โดยเกมที่น่าจะถูกพูดถึงมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเกมในรอบ16 ทีมสุดท้ายที่เจ้าภาพ เกาหลีใต้ โคจรมาพบกับของแข็งอย่าง ทีมชาติอิตาลี ภายใต้การคุมทีมของ โจวานนี ตราปัตโตนี่ โดยเกมดังกล่าน่าจะเป็นเกมที่แฟนบอลอิตาเลียนจำฝังใจไปตลอด

โดยตลอดทั้งเกมทีมมักกะโรนีมีโอกาสบุกและยิงเยอะมาก แต่สุดท้ายจบ 90 นาที เสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาด้วยกฏ โกลเด้นโกล และแล้วในช่วงต่อเวลา ก็เกิดเหตุการณ์ที่แฟนบอลอิตาเลียนลืมไม่ลง จากจังหวะที่แข้งตัวเทพอย่าง ฟรานเชสโก้ ต็อตติ โดนใบเหลืองแดงไล่ออกจากสนาม จากข้อหาพุ่งล้มเอาจุดโทษ

ทั้งที่เมื่อชมจากภาพรีเพลย์ อิตาลี ต้องได้จุดโทษ แต่สุดท้าย ไบร่อน โมเรโน่ ผู้ตัดสินชาวเอกวาดอร์ กลับแจกใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงให้กับ เจ้าชายหมาป่า ซะอย่างงั้น ซึ่งจากการโดนไล่ออกของ ต็อตติ ทำเอาขุนพล อัซซูรี่ แทบจะสติแตก จนกระทั่งมาโดน เกาหลี ที่ตัวผู้เล่นเยอะกว่ายิงประตูในช่วงโกลเด้นโกลจาก อาห์น จุง ฮวาน พาทัพ โสมขาว พิชิตอดีตแชมป์โลก ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ แบบที่เรียกได้ว่ามีดราม่าตามมาเต็มไปหมด

ใบแดง ต็อตติ ,ปล้นชัย กระทิงดุ

เท่านั้นยังไม่พอยังมีเกมในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่เกาหลีใต้ โดนทัวร์ลงอีกครั้งจากการตัดสินที่สุดแสนจะค้านสายตา ในการดวลกับ ทีมชาติสเปน เพราะหลายครั้งหลายทีที่แข้งจากแดนกิมจิเปิดปุ่มใส่นักเตะทัพกระทิงดุ แต่ผู้ตัดสินกลับไม่แยแส

แถมยังมีจังหวะที่ สเปน ยิงนำไปก่อน แต่ก็โดนอิทธิฤทธิ์ของผู้ตัดสินที่ริบลูกโหม่งประตูของ รูเบน บาราฆา คืน นอกจากนี้ประตู เฟร์นานโด มอร์ริเอนเตส ยิงเข้าไปอีกครั้ง ก็ถูกยกเลิก เพราะไลน์แมนยกธงออกหลังไปก่อน แต่เมื่อชมจากภาพช้าบอลไม่ได้ออกเส้นหลังไปเต็มใบแต่อย่างใด

สุดท้ายจบ 120 นาทีทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ ต้องหาผู้ชนะด้วยการดวลลูกโทษที่จุดโทษ ก่อนที่ลูกทีมของ กุส ฮิดดิ้ง จะกรุยทางผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และยังนับเป็นชาติเอเชียชาติแรก ที่เข้าสู่รอบตัดเชือกฟุตบอลโลก

อย่างไรก็ตามว่ากันว่าหาก ณ เวลานั้นมีเทคโนโลยี VAR เข้ามาช่วยตัดสิน บางที่ เจ้าชายหมาป่า อย่าง ต็อตติ อาจไม่ถูกไล่ออก และไม่แน่เหมือนกันว่าประวัติศาสตร์การคว้าอันดับ 4 ในศึกฟุตบอลโลกของทัพ โสมขาว ภายใต้การคุมทีมของ กุส ฮิดดิ้งก์ อาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ หากมี VAR เข้ามาตรวจสอบ

ข้อเปรียบเทียบจาก 20 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งยังไร้ VAR

ซึ่งกรณีในเกมที่ เกาหลีใต้ เจอกับ ทีมชาติสเปน สามารถเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมา โดยเป็นเกมรอบแบ่งกลุ่มที่ ญี่ปุ่น ดวลกับ สเปน เหตุเกิดที่จังหวะนาที 51 เมื่อ คาโอรุ มิโตมะ วิ่งไปตบบอลจากเส้นหลังให้ อาโอ ทานากะ พุ่งชาร์จเป็นประตูให้พลพรรค ซามูไรบลูส์ แซงนำ 2-1 และเป็นประตูชัยที่พาพวกเขาผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย

อย่างไรก็ตามจังหวะคุณผู้ชมถกเถียงกันอย่างหนักคือ จังหวะตบกลับมาของ มิโตมะ ที่ดูเหมือนว่าบอลมันข้ามเส้นหลังออกไปทั้งใบ แต่สุดท้ายจากการเช็ค VAR ในโหมดของ โกลไลน์ เทคโนโลยี ได้ข้อสรุปว่าบอลยังข้ามเส้นออกหลังไม่เต็มใบ นั่นจึงกลายเป็นประตูชัยของ ญี่ปุ่น และมีการเปิดเผยภาพมุมบนออกมา จนเห็นชัดว่าบอลยังข้ามเส้นไม่เต็มใบจริงๆ

สุดท้ายการเข้ามาของ VAR อาจไม่ใช่การทำให้แข้งสไตล์ฮาร์ดแมนหายไป แต่อาจเป็นการทำให้เกมฟุตบอลขาวสะอาดมากขึ้นนั่นเอง

สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ

เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค