หากจะเอ่ยถึงยอดศูนย์ดาวยิงของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในช่วงยุค 90 แน่นอนว่ามีกองหน้ามากหน้าหลายตา ที่จารึกชื่อเอาไว้อยู่ในใจของเหล่าบรรดาแฟนบอลในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น อลัน เชียร์เรอร์ ,จานฟรังโก้ โซล่า ,เดนนิส เบิร์กแคมป์ ,แอนดี้ โคล ,ดไวท์ ยอร์ค รวมไปถึงอีกหลายคน
อย่างไรก็ตามหากโฟกัสให้แคบลงมาภายใต้โจทย์กองหน้าเท้าซ้าย ก็คงเหลือยอดดาวยิงเพียงไม่กี่คนที่จะทำให้เรานึกถึง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้นกองหน้าของทัพ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่มีนามว่า ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ศูนย์หน้าอีซ้าย ผู้ถูกเหล่าบรรดา เดอะ ค็อป ยกให้เป็นพระเจ้าแห่งรั้ว แอนฟิลด์ ในช่วงเวลาหนึ่ง แถมในช่วงบั้นปลายชีวิตการค้าแข้ง ฟาวเลอร์ ได้ย้ายข้ามน้ำข้ามทะเลมาล่าประตูกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด พร้อมกับเคยรับงานกุนซือคุมทัพ กิเลนผยอง แห่งศึกไทยลีกมาแล้ว
ลูกหม้อ หงส์แดง ขึ้นชุดใหญ่ด้วยวัยแค่ 17
ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เกิดเมื่อปี 1975 และถือเป็นแข้งลูกหม้อของทัพ หงส์แดง จากการเข้าสู่ ทีมเยาวชนของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่อายุ 14 ขวบ ก่อนจะเซ็นสัญญาอาชีพในปี 1993 ด้วยวัยเพียง 17 ปี โดยในปีเดียวกัน ฟาวเลอร์ ช่วยให้ทีมชาติอังกฤษชุด U18 คว้าแชมป์ U18 ยูฟ่า แชมเปียนชิพได้ด้วย
ปีต่อมา ฟาวเลอร์ ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล อย่างเต็มตัว ในยุคของ แกรม ซูเนสส์ โดย ฟาวเลอร์ ถูกดันขึ้นมาพร้อมๆกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน, ร็อบ โจนส์, ดอน ฮัตซิสัน, เจมี่ เร้ดแน็ปป์, โดมินิก มัตเตโอ และ เดวิด เจมส์
และเพียงซีซั่นแรกของ ฟาวเลอร์ ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ เจ้าตัวสังหารไป 18 ประตูจากการลงสนาม 34 เกมรวมทุกรายการให้กับ ลิเวอร์พูล หลังจาก ฟาวเลอร์ ก็กลายเป็นตัวหลักในยุคของ เชราร์ อุลลิเยร์ กุนซือชาวฝรั่งเศส ต่อมาในฤดูกาล 1994-95 ฟาวเลอร์ ได้ลงเล่นถึง 57 เกมยิงไป 31 ประตูรวมทุกรายการ พร้อมกับพา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีก คัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
ครอง PFA 2 ปีติด ในฐานะ วันเดอร์คิด ลิเวอร์พูล
โดยในฤดูกาลนั้น ฟาวเลอร์ สร้างสถิติให้เป็นนักเตะที่ทำแฮตทริกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ ลีก จากการใช้เวลาเพียง 4 นาที 33 วินาที ยิง 3 ประตู ใส่ อาร์เซน่อล ซึ่งมันเป็นสถิติที่อยู่ยงคงกระพันมามากกว่า 20 ปี ก่อนที่จะมาโดน ซาดิโอ มาเน่ ทำลายไปในเดือนพฤษภาคมปี 2015 ในเกมที่ เซาธ์แฮมป์ตัน พบกับ แอสตัน วิลล่า ด้วยสถิติ 2 นาที 56 วินาที และในปีนั้น ฟาวเลอร์ ได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA ด้วย
ฤดูกาล 1995-96 ผลงานของ ฟาวเลอร์ ยังคงร้อนแรงกระหน่ำไปอีก 36 ประตูจากการลงสนาม 53 เกมรวมทุกรายการ อย่างไรก็ตามแม้ว่า ฟาวเลอร์ จะยิงประตูระเบิดเถิดเทิง และ ได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน แต่เจ้าตัวก็เคยไม่เคยได้สัมผัสกับตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก เนื่องจาก 2 ซีซั่นดังกล่าวเป็นช่วงพีคของอีกหนึ่งยอดดาวยิงอย่าง อลัน เชียร์เรอร์ ที่กำลังฮอตกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ต่อเนื่องไปยัง นิวคาสเซิ่ล ในห้วงเวลานั้น
ซีซั่น 1996-97 เดอะ ก็อด ยังคงเป็นกองหน้าตัวความหวังของทัพ หงส์แดง จากการกระหน่ำไป 31 ประตู จากการลงสนาม 44 นัดรวมทุกรายการ โดยหนึ่งนั้นเป็นเกมที่ ฟาวเลอร์ กดคนเดียว 5 ประตู ในเกมกับ ฟูแล่ม ที่แอนฟิลด์ ด้วย โดย ฟาวเลอร์ นับเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์สโมสร ลิเวอร์พูล ที่ยิง 5 ประตูในเกมเดียวด้วย
ซึ่งในปีเดียวทัพ หงส์แดง ซื้อ สแตน คอลลีมอร์ จาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ด้วยค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์ เพื่อให้มาเป็นคู่ขาในแดนหน้าคนใหม่ของ ฟาวเลอร์ และทั้งคู่ก็สร้างผลงานได้ดี ช่วยกันยิงประตูเป็นกอบกำ
โดยในยุคดังกล่าว ฟาวเลอร์ อยู่ในกลุ่มที่ถูกขนานนามว่า สไปซ์ บอย โดยมีที่มามาจากวงดนตรี สไปซ์ เกิร์ล โดยในกลุ่มประกอบด้วยนักเตะ 5 คน คือ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เดวิด เจมส์, เจมี่ เร้ดแนปป์, สตีฟ แม็คมานามาน และ สแตน คอลลิมอร์
อาการบาดเจ็บตามหลอน ลางสังหรณ์ไปไม่สุด
อย่างไรก็ตามในปี 1998 ฟาวเลอร์ โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน ทำให้ผลงานเริ่มตกลงไป ประกอบกับการก้าวขึ้นมาของ ไมเคิ่ล โอเว่น ทำให้โอกาสของ ฟาวเลอร์ ในถิ่น แอนฟิลด์ เริ่มไม่ชัดเจน แถมการเข้ามาคุมทีมของ เชราร์ด อุลลิเยร์ ทำให้โอกาสของ ฟาวเลอร์ ในการลงสนามต้องถูกจำกัด
เนื่องจากผู้จัดการชาวฝรั่งเศส เลือกที่จะใช้กองหน้าอย่าง ไมเคิ่ล โอเว่น และ เอมิล เฮสกีย์ มากกว่า โดยฤดูกาล 1997-98 ฟาวเลอร์ ลงไปสนามไปเพียง 28 เกมรวมทุกรายการ แต่ยังอุตส่าห์ยิงไปถึง 13 ประตู
แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่คอยตามหลอกหลอน จะทำให้บทบาทของ ฟาวเลอร์ ลงน้อยลงไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2000-01 เมื่อ เดอะ ก็อด สลัดอาการบาดเจ็บ ดาวยิงอีซ้ายรายนี้ก็กลับมาอาละวาดอีกครั้ง ในฐานะตัวหลักในฟุตบอลถ้วย และตัวโจ๊กเกอร์ในในพรีเมียร์ลีก
โดยปีนั้น ฟาวเลอร์ ซัดไป 17 ประตูจากการลงสนาม 48 เกมรวมทุกรายการ แถมยังอยู่ทัพ หงส์แดง ชุดคว้า ทริปเปิลแชมป์บอลถ้วยทั้ง ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
ในขณะที่สถานการณ์ในทีม ลิเวอร์พูล เริ่มไม่มั่นคงกับตำแหน่งตัวจริง และการถูกบีบให้ต้องย้ายทีม สุดท้าย ฟาวเลอร์ ก็ย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล มายัง ลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ โดย 2 ฤดูกาลกับทัพ ยูงทอง ผลงานของ ฟาวเลอร์ ถือว่าน่าผิดหวังเมื่อยิงไปเพียง 14 ประตูจากการลงสนาม 33 เกมรวมทุกรายการ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาไปกับการรักษาอาการบาดเจ็บ รวมไปถึงการนั่งอยู่ในม้านั่งสำรอง
ซีซั่น 2002-03 ฟาวเลอร์ ย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัวราวๆ 3 ล้านปอนด์ ซึ่งผลงานของ เดอะ ก็อด ก็ถือว่าสามวันดีสี่วันไข้ โดยมีเพียงซีซั่น 2004-05 เท่านั้นที่ ฟาวเลอร์ ยิงในลีกแตะเลขสองหลักด้วยจำนวน 11 ประตู โดยตลอด 3 ฤดูกาลครึ่งในสีเสื้อ เรือใบสีฟ้า ฟาวเลอร์ ลงสนามไป 92 นัด ยิงไป 28 ประตู รวมทุกรายการ
เดอะ ก็อด คัมแบ็ค การกลับมาเพื่อล่าสถิติ
ช่วงเปิดตลาดซื้อขายรอบ 2 เดือนมกราคมปี 2006 เหล่าบรรดา เดอะ ค็อป เหมือนกับได้ของขวัญวันปีใหม่ หลังจากที่ หงส์แดง ภายใต้การคุมทีมมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ประกาศเซ็นสัญญาคว้าตัว ฟาวเลอร์ กลับสู่ถิ่น แอนฟิลด์ อีกครั้ง แต่การย้ายกลับมาครั้งนีไม่ได้สวมเสื้อเบอร์เก่งอย่างเบอร์ 9 เนื่องจากเบอร์นี้ถูกใช้โดย ฌิบริล ซิสเซ่ ทำให้ ฟาวเลอร์ ได้ใส่เบอร์ 11
โดยในฤดูกาลแรกที่กลับมาเล่นให้ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง ฟาวเลอร์ ลงเล่นไปทั้งหมด 16 เกม ยิงได้ 5 ประตู ก่อนที่ในฤดูกาล 2006-07 ฟาวเลอร์ จะกลับมาใส่เบอร์ 9 อีกครั้งหลังจาก ฌิบริล ซิสเซ่ ย้ายไปร่วมทีม โอลิมปิก มาร์กเซย ในสัญญายืมตัว
สำหรับภาค 2 ของ ฟาวเลอร์ ในการกลับมาค้าแข้งในถิ่น แอนฟิลด์ เจ้าตัวลงสนามไปทั้งสิ้น 39 นัดยิงไป 12 ประตูรวมทุกรายการ ก่อนจะหมดสัญญา หลังจบฤดูกาล 2006-07 พร้อมจารึกสถิติลงสนามไป 379 เกม ยิง 163 ประตู แอสซิสต์ไป 39 ครั้งในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
โดยหลังจากที่อำลา ลิเวอร์พูล เป็นคำรบที่ 2 ชื่อของ ฟาวเลอร์ ก็เริ่มที่จะหายไปตามกาลเวลา หลังจากนั้น เดอะ ก็อด ตระเวนค้าแข้งกับทีมระดับต่ำลงเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็น คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ , แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส รวมทั้งการย้ายไปเผชิญความท้าทายใหม่ในช่วงบั้นปลายในออสเตรเลียกับ นอร์ธ ควีนแลนด์ ฟิวรี
และ เพิร์ท กลอรี ก่อนจะมาประกาศแขวนสตั๊ดที่ประเทศไทยกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ในปี 2011 พร้อมกับถูกดันขึ้นไปรับงานโค้ชครั้งแรกในชีวิตกับทัพ กิเลนผยอง ในปีเดียวกันด้วย
หลังจากนั้น ฟาวเลอร์ ก็เริ่มเก็บประสบการณ์การคุมทีมในหลายๆลีก ทั้งการคุม บริสเบน รอร์ ในออสเตรเลีย ,อีส เบงกอล ในอินเดีย และทีมสุดท้ายอย่าง อัล ควัดซลาห์ ของซาอุดิอาระเบีย อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเส้นทางการคุมทีมของ ฟาวเลอร์ จะไม่ประสบความสำเร็จ และเว้นว่างจากการคุมทีมตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค