หากจะเอ่ยถึงเหล่าบรรดานักเตะจากบราซิล ภาพจำของหลายๆคนก็น่าจะนึกถึงนักเตะที่มาจากข้างถนน หรือมาจากชุมชนยากจนที่ต้องกัดฟันต่อสู้กับความแร้นแค้นด้วยการใช้ลูกฟุตบอลเป็นใบเบิกทาง อย่างไรก็ตามนักเตะจากแดนแซมบ้า ก็ไม่ได้มีที่มาเช่นนี้แทบทุกคน เพราะนักกีฬาบางคนที่เกิดมาในครอบครัวฐานะดี มีการศึกษา แถมในแง่ของกีฬาก็มีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
สำหรับตำนานนักเตะที่เราจะถูกพูดถึงต่อไปนี้ หลายคนน่าจะพอเดากันออก นั่นก็คือ กาก้า จอมทัพเทพบุตรชาวบราซิลที่ใช้ฟุตบอลและความศรัทธาในพระเจ้า ไล่ล่าความฝันของตัวเอง จนประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการคว้ารางวัลบัลลงดอร์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ เอาชนะได้ทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ณ เวลานั้น
จากเกือบอัมพาต สู่ตำนานเทพบุตรลูกหนัง
ริคาร์โด้ อิเซคสัน ดอส ซานโตส ไลเต้ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ กาก้า เกิดที่ บราซิเลีย ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 22 เมษายน 1983 ในครอบครัวที่ฐานะที่ค่อนข้างดี ทำให้ กาก้า เติบโตแบบนักฟุตบอลในบราซิลที่เริ่มต้นจากฟุตบอลข้างถนน เส้นทางสู่นักฟุตบอลอาชีพของ กาก้า เริ่มต้นขึ้นในวัย 18 ปีกับสโมสร เซา เปาโล ตอนแรกที่เขาเข้าสู่ทีม จากการที่มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป 2 ปี ทำให้ กาก้า มีร่างกายเล็กผิดปกติ นอกจากนี้ กาก้า ยังประสบอุบัติเหตุ พลาดตกสไลเดอร์ หลังกระแทกพื้นอย่างแรง จนกระดูกสันหลังหัก และต้องทำการผ่าตัด ซึ่งสถานการณ์ ณ ตอนนั้น กาก้า มีความเสี่ยงในการเป็นอัมพาต
อย่างไรก็ตาม กาก้า ใช้เวลาแรมปี ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายและกลับเล่นฟุตบอลอีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น กาก้า เชื่อว่าเกิดจากพระเจ้า ที่ทำให้ตัวเองได้กลับมาไล่หวดลูกหนังอีกครั้ง โดยหลังจากที่ กาก้า หายจากความเสี่ยงเป็นอัมพาต เขาเด่นขึ้นมาจนได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ เซา เปาโล อย่างเต็มตัว ซึ่งผลงานในซีซั่นแรกกับทีมชุดใหญ่ กาก้า ตะบันไปถึง 12 ประตู จากการลงสนาม 27 นัด และในฤดูกาลต่อมา กาก้า ก็ยิงไปอีก 10 ประตู จาก 22 นัด และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำลีกสูงสุดของบราซิล ในปี 2002
คว้าแชมป์โลก 2002 ทะยานตามฝัน ณ ถิ่น ซาน ซิโร่
จากผลงานดังกล่าวทำให้ กาก้า ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุด ยู 20 ในปี 2001 ก่อนจะติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ ในการลุยฟุตบอลโลก ฉบับเอเชียที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เมื่อปี 2002 และเป็นหนึ่งในขุนพลชุดแชมป์โลกร่วมกับ โรนัลโด้, โรนัลดินโญ, ริวัลโด้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส ในตอนนั้นด้วย
ปี 2003 เอซี มิลาน ตัดสินใจซื้อตัว กาก้า วัย 21 ปีด้วยค่าตัว 8.5 ล้านยูโร และเพียงแค่ 1 เดือน กาก้า ก็แย่งตำแหน่งตัวจริงจาก รุ่นพี่ในทีมชาติอย่าง ริวัลโด้ รวมถึงจอมทัพโปรตุกีสอย่าง มานูเอล รุย คอสต้า ทำให้ กาก้า ได้ลงสนามร่วมกับนักเตะระดับตำนานของ มิลาน ไม่ว่าจะเป็น อันเดรีย ปีร์โล, อังเดรย์ เชฟเชนโก้ และ เปาโล มัลดินี่ โดยฤดูกาลนั้น กาก้า ยิงไป 10 ประตู จาก 30 เกม พา มิลาน คว้า สคูเด็ดโต้ และ ถ้วย ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
ฤดูกาล 2004-05 กาก้า ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของ มิลาน พร้อมโชว์ฟอร์มกระชากลากเลื้อยอันสุดเร้าใจ มีการยิงไกลที่คมกริบ แถมยังมีจุดขายคือรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาราวกับ เทพบุตร อย่างไรก็ตามน่าเสียดาย ที่ฤดูกาลนั้น กาก้า และ มิลาน ไม่มีถ้วยรางวัลติดมือ ได้เพียงแค่รองแชมป์เซเรีย อา รองจาก ยูเวนตุส รวมไปถึงความพ่ายแพ้สุดเจ็บปวดให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ อิสตันบูล
ร่ายมนต์บนสนามหญ้า จนได้รับสมญานาม “เปเล่ขาว”
หลังจากความพ่ายแพ้ในรอบชิงและปัญหาการล็อกผลการแข่งขันในปี 2006 ที่ทำให้ เอซี มิลาน โดนตัดแต้ม อย่างไรก็ตามฟอร์มของ กาก้า ยังคงโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถพา มิลาน เข้าชิงศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้ในปี 2007 พร้อมกับพา ปีศาจแดง-ดำ ชำระแค้น ลิเวอร์พูล คู่อริที่เคยทำแสบไว้เมื่อปี 2005 ด้วยการเอาชนะไป 2-1 ตอกย้ำปีแห่งความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของเขากับ เอซี มิลาน โดยในปีเดียวกันนั้น กาก้า คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า และมีรายชื่อติดในทีมยอดเยี่ยมของยูฟ่า และยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของ เซเรีย อา อิตาลี ด้วย
สำหรับจุดเด่นของ กาก้า แม้จะมีความสูงถึง 185 เซนติเมตร แต่เป็นนักเตะที่มีความเร็วและมีสปีดต้นที่ยอดเยี่ยม มีทักษะการเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งได้อย่างเนียนตา นอกจากนี้ยังสามารถเลือกผ่านบอลได้อย่างฉลาด และจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม จนมีหลายครั้งที่ผู้คนมักเรียกเขาว่า “นิวเปเล่” หรือ “เปเล่ขาว” ในขณะที่ เปเล่ อดีตตำนานลูกหนัง ไข่มุกดำ ผู้ล่วงลับ เคยออกมายกย่องแข้งรุ่นหลานรายนี้ว่าเป็นผู้เล่นที่มีเทคนิคแบบบราซิลขนานแท้ ผสมกับ ความแข็งแกร่งของร่างกายตามสไตล์ฟุตบอลยุโรป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ กาก้า นั้นประสบความสำเร็จกับ เอซี มิลาน
ปรากฏการณ์ “ผีกาก้า” ที่เหล่าบรรดาแฟนผี ยังจำฝังใจ
และหากยังจำกันได้ ภาพติดตาของเหล่าสาวก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรายการ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2006-07 รอบรองชนะเลิศที่ ปีศาจแดง โดน เอซี มิลาน สอยทั้ง 2 เกมเหย้า-เยือน แถมยังถูก กาก้า สร้างปรากฏการณ์ โชว์ลีลาเหนือมนุษย์ ลากผ่านกองหลังเข้ายิง 3 ประตูจาก 2 เกม ซึ่งแม้กระทั่งประเทศไทย ก็ยังเป็นปรากฏการณ์ถึงขนาดที่ว่ามีแฟนบอลแต่งเพลง ผีกาก้า จนเป็นไวรัลถึงทุกวันนี้
ช่วงเวลากับ มิลาน คือช่วงเวลาที่ กาก้า พีคที่สุด ทั้ง ความเร็ว ความแข็งแกร่ง ไหวพริบ และการตัดสินใจ คือส่วนประกอบทั้งหมดที่ กาก้า มี ซึ่งช่วงเวลาที่เหลือกับ เอซี มิลาน กาก้า ยังคงเป็นแกนหลักและกำลังสำคัญของทีม โดยปีสุดท้ายในถิ่น ซาน ซิโร่ กาก้า ยิงไปทั้งหมด 16 ประตู แอสซิสต์อีก 9 ครั้งจากการลงสนามทั้งหมด 31 เกมในฤดูกาล 2008-09 ซึ่ง เอซี มิลาน จบอันดับที่ 3 ในฤดูกาลนั้น
ปี 2009 ด้วยปัญหาเรื่องการเงินของ เอซี มิลาน ทำให้พวกเขาจำใจต้องขาย กาก้า ให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยราคา 68.5 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติโลก ณ ตอนนั้น อย่างไรก็ตามบรรยากาศในสเปนนั้นแตกต่างกับอิตาลีที่เขาคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง กาก้า ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ โดยฤดูกาลแรก กาก้า ยังต้องใช้เวลาปรับตัว ทำให้ยิงได้เพียง 9 ประตู แอสซิสต์อีก 8 ครั้ง ก่อนจะได้รับบาดเจ็บในเดือนสิงหาคม ปี 2010 จนต้องผ่าตัดเข่าและต้องพักราว 4 เดือน
ฟอร์มหยุดปัง เหตุหัวเข่าพังตอนรับใช้ ราชันชุดขาว
โดยตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่ เรอัล มาดริด กาก้า มีปัญหาอาการบาดเจ็บรุมเร้าอยู่บ่อยครั้ง ฤดูกาล 2012-2013 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายในยูนิฟอร์มสีขาว ของ กาก้า ก่อนที่จะหยุดสถิติการรับใช้ มาดริด ไว้ที่ 120 เกมยิง 29 ประตูรวมทุกรายการ ซึ่งหลังหมดสัญญาดับ มาดริด กาก้า กลับมาสวมเสื้อแดง-ดำ ณ ถิ่น ซาน ซิโร่ อีกครั้งในฤดูกาล 2013-14 อย่างไรก็ตามแม้ว่า มิลาน จะไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ด้วยการจบอันดับ 8 ของตาราง แต่โดยผลงานส่วนตัวของ กาก้า ยังนับว่าไม่เลว เมื่อยิงไปอีก 9 ประตู ทำให้ กาก้า ยิงทะลุหลัก 100 ประตูให้ ปีศาจแดง-ดำ ได้สำเร็จ ซึ่งรวมเบ็ดเสร็จแล้ว กาก้า ยิงให้มิลานไปทั้งหมด 104 ประตู จากการลงสนาม 307 นัด รวมทุกรายการ
หลังจากนั้น กาก้า ย้ายไปเล่นในสหรัฐอเมริกากับ ออร์ลันโด ซิตี้ ใช้เวลา 3 ปีในแดนมะกัน โดยในปี 2014 เจ้าตัวมีโอกาสได้กลับไปเล่นให้เซา เปาโล แบบยืมตัวเป็นเวลา 1 ปี แต่สุดท้ายจากการบาดเจ็บต่างๆ กาก้า ก็ตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 35 ปี หลังจากค้าแข้งมาเป็นระยะเวลา 16 ปีเต็ม พร้อมจารึกด้วยสถิติตลอดอาชีพค้า คือ ลงเล่น 654 นัด ยิงไป 237 ประตู ส่วนผลงานกับทีมชาตินั้น กาก้า ติดทีมชาติบราซิลทั้งสิ้น 92 นัด ซึ่งนอกจากจะเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติบราซิลชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2002 แล้ว กาก้า ยังคว้าแชมป์คอนเฟดเดอเรชันส์คัพ ร่วมกับบราซิล ในปี 2005 และ 2009 ด้วย
สโลแกนประจำตัว กาก้า “ศรัทธาในพระเจ้า”
กาก้า ถือเป็นคริสเตียนที่เคร่งศาสนามาก และยังเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อและพลังแห่งความศรัทธาที่เขาได้นำเอาพลังเหล่านั้นมาพัฒนาสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายในชีวิตด้วย โดย กาก้า มักจะสวมเสื้อด้านในที่สกรีนคำว่า “I belong to Jesus” (สาวกของพระเจ้า) อยู่เป็นประจำ และทุกครั้งที่เขาทำประตูได้ ก็จะชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า เป็นสัญลักษณ์ว่า “ขอบคุณพระเจ้า” เสมอ นอกจากนี้บริเวณลิ้นรองเท้าสตั๊ดของเขายังปักคำว่า “I belong to Jesus” (สาวกของพระเจ้า) และ “God is faithful” (ศรัทธาในพระเจ้า) อยู่ด้วย
นอกจากนี้ กาก้า ยังเคยอธิบายท่าดีใจหลังการทำประตูของ กาก้า ที่เขามักจะชูมือขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการเชิดชูความเชื่อของเขาตั้งแต่วัยเด็กว่า
“ผมต้องการพระองค์ทุกวันในชีวิต คำสอน โดยเฉพาะในไบเบิลที่บอกผมว่า หากไม่มีท่าน ผมก็ไม่มีวันนี้ ทุกอย่างเป็นของขวัญจากพระเจ้า พระเจ้ามอบพรสวรรค์ให้ผมทำเพื่อท่าน และผมจะพยายามพัฒนาพรสวรรค์นี้ขึ้นทุกวัน”
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค