มิดฟิลด์พันธุ์หมาบ้า เอ็ดการ์ ดาวิดส์ เดอะ พิตบูล กับแว่นคู่ใจในความทรงจำ
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหล่าบรรดาอดีตนักเตะดังชื่อก้องโลกมากมายที่เดินทางมาร่วมงานฟีฟ่า คองเกรสที่ประเทศไทย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในระหว่างวันที่ 13-17 พ.ค. ที่ผ่านมา
ที่ผ่านมา โดยเหล่าอดีตแข้งซูเปอร์สตาร์ที่เดินทางมายังแดนสยาม มีมากมาย ยกตัวอย่างมาบางส่วน อาทิเช่น ฟิลิปป์ เซนเดอรอส ,ไรอัน เนลสัน ,อาลี อัลฮับซี่ ,ดีด้า ,วิคตอร์ โรเก้ จูเนียร์ ,จิลแบร์โต้ ซิลวา ,จอห์น โอบี มิเกล ,ร็อดนี่ย์ สตราสเซอร์ ,คาฟู , คาลิลู ฟาดิก้า ,อิบัน คอร์โดบา ,อังเดร เชฟเชนโก้ ,คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ ,ฮวน เซบาสเตียน เวรอน เป็นต้น
อย่างไรก็ตามผู้เล่นดังในยุค 90 หนึ่งคนที่ไม่ได้เดินทางมาร่วมงานดังกล่าวนั่นก็คือ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ตำนานกองกลางพันธุ์หมาบ้าของทีมชาติฮอลแลนด์ เจ้าของคาแรกเตอร์ทรงผมเดร็ดล็อคและที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือการสมวแว่นตาลงสนาม จนกลายเป็นแฟชั่นและกลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ณ เวลานั้น
เด็กน้อยจากซูรินัม สู่เจ้าของฉายา เดอะ พิตบูล
เอ็ดการ์ ดาวิดส์ เกิดที่ประเทศซูรินัม ประเทศในแถบแคริบเบียที่เคยเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ก่อนจะอพยพเข้ามาในเมืองหลวงของแดนกังหันลมตั้งแต่อายุ 2 ขวบพร้อมกับครอบครัว และได้รับโอกาสเข้าสู่สาระบบศูนย์ฝึกเยาวชนชื่อก้องโลกอย่าง อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตั้งแต่อายุได้เพียง 12 ขวบเท่านั้น
และด้วยส่วนสูงแค่ 169 เซนติเมตร ทำให้ ดาวิดส์ ได้ประจำการในตำแหน่งปีกรวมไปถึงมิดฟิลด์ตัวรุก และก็สามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเกินวัย อย่างไรก็ตามหลังจากที่ ดาวิดส์ สถานปนาตัวเองขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 18 ปี ภายใต้คาถาของบรมกุนซือแดนกังหันลมอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล เจ้าตัวถูกปรับบทบาทมาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ หลังจากที่ ฟาน กัล มองเห็นอะไรบางอย่างจากตัวแข้งรายนี้ ทั้งพลังปอด เซนส์บอล และพลังงานของ ดาวิดส์ นั่นจึงทำให้ ฟาน กัล เลือกใช้งาน ดาวิดส์ ในตำแหน่งมิดฟิลด์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“ฟาน กัล คือคนแรกที่เรียกผมว่า พิตบูล เขามักจะบอกว่าเมื่อทีมต้องเล่นเกมรับ ผมจะเป็นด่านแรกเสมอ”
ดาวิดส์ กล่าวถึงฉายา พิตบูล ของตัวเองที่ หลุยส์ ฟาน กัล ตั้งให้ และความหมายว่ากัดไม่ปล่อย ตามสายพันธุ์ของสุนัขที่เปรียบเทียบกับสไตล์ความดุดันในสนามของ เอ็ดการ์ ดาวิดส์
จากตัวรุกสู่ตัวรับแบบฉบับ หลุยส์ ฟาน กัล
นอกจากนี้ หลุยส์ ฟาน กัล ยังเคยให้เหตุผลถึงการจับ ดาวิดส์ ไปยืนในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับว่า
“ที่ อาแจ็กซ์ฯ มีคำนิยามของมิดฟิลด์แตกต่างออกไป พวกเราต้องเล่นเกมรุกให้ดี และเล่นเกมรับให้ได้ เราทุกคนต้องทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันกองหลังอีก 1 ชั้น นั่นคือระบบของอาแจ็กซ์ฯ ซี่ง หลุยส์ ฟาน กัล บอกผมเองว่าต้องถอยลงมาเล่นตรงนี้ เพราะตำแหน่งปีกซ้ายเป็นของ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส แล้ว แถมเขายังทำผลงานได้ดีมากๆ”
ผลงานของ ดาวิดส์ กับ อาแจ็กซ์ ถือว่าสามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว จากการลงสนาม 157 นัดยิงไป 31 ประตูตลอด 5 ฤดูกาลกับยักษ์ใหญ่จากแดนกังหันลม พร้อมกับคว้าแชมป์ลีกมาประดับบารมีอีก 3 สมัย สำหรับอาแจ็กซ์ฯ ชุดที่ ฟาน กัล สร้างขึ้นมา มี เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ยืนคู่กับ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ ในตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ยืนคู่กัน ส่วนเกมรุกริมเส้นเป็นหน้าที่ของ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส
นอกจากนี้ยังมีดาวดังจากทัพ อัศวินสีส้ม ไม่ว่าจะเป็น โรนัลด์ เดอ บัวร์ และ พาทริก ไคลเวิร์ต โดย อาแจ็กซ์ ชุดนั้นไปไกลถึงการเป็นแชมป์ยุโรปในปี 1995 และนั่นทำให้ ดาวิดส์ โด่งดังเป็นพลุแตกและได้ย้ายไปอยู่กับ เอซี มิลาน โคตรทีมจากอิตาลี แบบไม่มีค่าตัวในฤดูกาล 1996-97
ปรับตัวไม่ได้ กับปีแรกในดินแดนมะกะโรนี
อย่างไรก็ตามชีวิตที่ มิลาน ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจาก ดาวิดส์ ต้องเผชิญปัญหาบาดเจ็บ แถมยังมีปัญหาเรื่องปรับตัว เพราะสื่อสารภาษาอิตาเลียนไม่ได้ 2 ปี กับมิลาน ดาวิดส์ ได้ลงเล่เกมลีกแค่ 19 เกม แต่สุดท้าย เขาตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส ทีมที่มีสภาพแวดล้อมและแนวทางการเล่นที่เหมาะกับเขามากที่สุด
ที่ ยูเวนตุส ดาวิดส์ เกิดใหม่ในฐานะพิตบูลคนเดิม การไล่ล่าเอาบอลกลับมาให้ทีมเป็นฝ่ายครอบครองกลับมาเป็นจุดขายอีกครั้ง แต่หนนี้งานของเขาสบายลงกว่าเดิมมาก เพราะเขาแค่มีหน้าที่แย่งบอลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในขณะที่หน้าที่สร้างสรรค์เกมเป็นหน้าที่ ซีเนอดีน ซีดาน โดย ดาวิดส์ ประสบความสำเร็จมากมายที่ ยูเวนตุส ด้วยการคว้า สคูเด็ตโต้ 3 สมัย ในฤดูกาล 1997–98, 2001–02, 2002–03 และ โคปปา อิตาเลีย อีก 1 สมัย จารึกสถิติลงสนาม 228 นัดตะบันไป 10 ประตู กับ 7 ฤดูกาลในถิ่น เดลเล อัลปิ
พีคสุดกับ ยูเวนตุส แต่โชคชะตาดันมาเล่นตลก
แต่เหมือนโชคชะตามาเล่นตลก เพราะในปี 1999 ดาวิดส์ ได้ทราบผลตรวจของตาตัวเองว่า ตาทั้งสองข้างของตัวเองเป็นต้อหิน และมีความเสี่ยงต่อการผ่าตัด ซึ่งหลายคนรวมถึงเจ้าตัวกลัวว่าการผ่าตัดครั้งนั้นจะทำให้เส้นทางการเล่นฟุตบอลต้องจบลง ซึ่งไม่ใช่แค่อาชีพฟุตบอลเท่านั้นที่หายไป การมองเห็นของ ดาวิดส์ อาจมีผลกระทบไปตลอดกาลด้วย
ดาวิดส์ เกือบจะยอมรับชะตาด้วยการเข้าผ่าตัดในทันที เพื่อรักษาอายุการใช้งานในสนามให้นานที่สุด แต่สุดท้าย พิตบูล ก็มาเจอหนทางสว่างเพราะเจ้าตัวดันพบวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด นั่นก็คือการขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษเพื่อใส่แว่นลงสนาม เพราะไม่เคยมีนักเตะคนไหนเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน
“ผมพบวิธีที่มันดีกับอาชีพผมกว่าการผ่าตัด นั่นคือการสวมแว่นตาลงสนามไปเลย”
EYEGUARD อาวุธใหม่คู่กาย เอ็ดการ์ ดาวิดส์
สำหรับ EYEGUARD เป็นแว่นตาสำหรับนักกีฬาที่เล่นกีฬาที่มีแรงปะทะสูง เช่น ฟุตบอล สควอช รักบี้ แบดมินตัน หรือ บาสเก็ตบอล แรงกระแทกในที่นี้อาจจะหมายถึงแรงกระแทกของนักกีฬาต่อนักกีฬาหรือจากลูกบอลที่มีความแรง สำหรับแว่น EYEGUARD นั้นอาจจะเหมาะสำหรับนักกีฬาที่มีปัญหาทางด้านสายตา เช่น เป็นโรคตาแข็ง ต้อหิน ต้อกระจก
หรือนักกีฬาที่โดนลูกบอลปะทะที่ตาทำให้ดวงตาเสียหาย และจะมีผลอัตรายมากยิ่งขึ้นหากโดนการปะทะอีกดาวิดส์ รักษาอาการที่ดวงตาของเขาจนดีขึ้นและสามารถลงสนามได้โดยที่ไม่ต้องใส่แว่นอีกต่อไป แต่หลังจากถอดแว่นลงสนามเพียงไม่กี่นัด ดาวิดส์ ก็ต้องกลับไปใส่แว่นอีกครั้ง พร้อมให้เหตุผลว่าไม่คุ้นเคย
เพราะว่าเจ้าตัวใส่แว่นลงสนามมานานแรมปี นอกจากนี้ว่ากันว่าอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ ดาวิดส์ เลือกสวม EYEGUARD ลงสนามต่อไป ก็เพราะว่า สปอนเซอร์ ร้องขอให้เจ้าตัวคงคาแรกเตอร์เดิมนี้ไว้ เพื่อเพิ่มยอดขายของแว่นตาแบรนด์ตัวเอง เพราะว่าในช่วงเวลานั้น แว่นตาฟุตบอล กลายเป็นสินค้ายอดฮิตที่ใครๆ ก็ซื้อมาใส่ตอนเตะบอล แม้ว่าตาจะไม่ได้เป็นอะไรก็ตาม
การสวมแว่นเตะบอลของ ดาวิดส์ คือการเปลี่ยนคาแร็คเตอร์ตัวเองไปตลอดกาล แถมยังเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวงการฟุตบอลยุค 90 ไปแล้ว เพราะการใส่แว่นเตะบอลคือสิ่งแปลกใหม่
และการใส่แว่นของ ดาวิดส์ ดันมีเรื่องของแฟชั่นเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นจึงไม่แปลกที่คาแรกเตอร์ดังกล่าว จะเป็นที่นิยมของแฟนๆทั่วโลกโดยไม่รู้ตัว ณ เวลานั้น ถึงขนาดที่ว่าเกมฟุตบอลยอดฮิตจากค่าย Konami อย่าง วินนิ่ง อีเลฟเว่น เปิดโหมดสร้างตัวด้วยการเพิ่มแว่นแบบของ ดาวิดส์ ลงเป็นส่วนหนึ่งในการตกแต่งตัวละครอีกด้วย
ภาพจำสุดท้าย แข้งใส่แว่นตา เอ็ดการ์ ดาวิดส์
หลังบอกลา ยูเวนตุส ดาวิดส์ ยังคงย้ายไปอยู่กับทีมใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า และ อินเตอร์ มิลาน เป็นช่วงสั้นๆ เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บติดตัว ก่อนที่ในปี 2005 ดาวิดส์ ในวัย 32 ปีจะย้ายมาค้าแข้งในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรกกับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือเพื่อนร่วมชาติอย่าง มาร์ติน โยล
โยล ต้องการนักเตะที่มีความเป็นผู้นำ ซึ่ง ดาวิดส์ คือคนที่ โยล ตามหา เพราะเจ้าตัวทำให้ห้องแต่งตัวคุกรุ่นไปด้วยความมุ่งมั่น ซึ่งนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด โดย หลุยส์ ฟาน กัล เคยบอกว่านักเตะอย่าง ดาวิดส์ นั้นเป็นเหมือนฟันเฟืองที่ต้องออกแรงหมุนมากที่สุด เพื่อทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขาเข้าใจความรู้สึก
และโมเมนตั้มไปในทิศทางเดียวกัน โดย 2 ฤดูกาลกับ ไก่เดือยทอง ดาวิดส์ ลงสนามไป 44 นัดยิงไป 1 ประตูรวมทุกรายการ หลังจากนั้นช่วงบั้นปลายชีวิตการค้าแข้งของ ดาวิดส์ เจ้าตัวย้ายกลับมาที่ อาแจ็กซ์ อีกครั้งเป็นเวลา 2 ซีซั่น ต่อมาไปหาความท้าทายกับ คริสตัล พาเลซ ก่อนจะปิดฉากชีวิตการค้าแข้งกับทีมระดับคอนเฟอร์เรนซ์อย่าง บาร์เน็ตต์ ในปี 2014
ด้วยเกียรติประวัติมากมาย โดยเฉพาะกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และด้วยฝีเท้ารวมไปถึงภาวะความเป็นผู้นำ อันเป็นที่ยอมรับ เลี้ยงบอลยอดเยี่ยม เทคนิคดี แย่งบอลยาก นั่คือสาเหตุที่ทำให้ ดาวิดส์ กลายเป็นกองกลางระดับเวิลด์คลาสของตำนานลูกหนังยุค 90 สุดท้ายแล้วนอกจากฝีเท้าและความสำเร็จต่างๆที่แข้งรายนี้จารึกเอาไว้ ยังมีอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ทิ้งไว้ให้วงการฟุตบอลนั่นก็คือ แว่นตาของเขา ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของแข้งรายนี้ไปแล้ว
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค
