ทางเข้า 188BET (ล่าสุด)
สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่พึ่งเริ่มสนใจดูการแข่งขัน F1 (Formula 1) แล้วเกิดข้อสงสัย หรือยังไม่ค่อยเข้าใจกฏกติกาบางอย่าง วันนี้ 188BET จะพามาดู 10 สิ่ง ที่มือใหม่หัดดู F1 ควรต้องรู้กันไว้ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชม ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ
*อ้างอิงข้อมูล และกติกาฤดูกาล 2019
#1
1 ฤดูกาล ประลองความเร็ว 21 สนามทั่วโลก
ในแต่ละฤดูกาลประกอบด้วยจำนวนสนามแข่งขันได้มากที่สุด 21 สนาม ขึ้นอยู่กับการลงนามสัญญาระหว่างสนามนั้น ๆ กับผู้ถือลิขสิทธิ์ทางการค้าของการแข่งขัน สำหรับฤดูกาล 2019 แข่งกันทั้งหมด 21 สนาม
ปฏิทินการแข่งขัน F1 ปี 2019
สนามที่ 1: 17 มี.ค. – เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
สนามที่ 2: 31 มี.ค. – ซาคีร์ บาห์เรน
สนามที่ 3: 14 เม.ย. – เซี่ยงไฮ้ จีน
สนามที่ 4: 28 เม.ย. – บากู อาเซอร์ไบจัน
สนามที่ 5: 12 พ.ค. – บาร์เซโลน่า สเปน
สนามที่ 6: 26 พ.ค. – มอนติคาร์โล โมนาโก
สนามที่ 7: 9 มิ.ย. – มอนทรีออล แคนาดา
สนามที่ 8: 23 มิ.ย. – เลอ กาสแตลเลต์ ฝรั่งเศส
สนามที่ 9: 30 มิ.ย – สปีลเบิร์ก ออสเตรีย
สนามที่ 10: 14 ก.ค. – ซิลเวอร์สโตน สหราชอาณาจักร
สนามที่ 11: 28 ก.ค. – ฮ็อคเคนไฮม์ เยอรมัน
สนามที่ 12: 4 ส.ค. – บูดาเปสต์ ฮังการี
สนามที่ 13: 1 ก.ย. – สปา-ฟรองคอร์ชองป์ เบลเยี่ยม
สนามที่ 14: 8 ก.ย.- มอนซ่า อิตาลี
สนามที่ 15: 22 ก.ย. – สิงคโปร์
สนามที่ 16: 29 ก.ย. – โซชิ รัสเซีย
สนามที่ 17: 13 ต.ค. – ซูซูกะ ญี่ปุ่น
สนามที่ 18: 27 ต.ค. – ออสติน สหรัฐอเมริกา
สนามที่ 19: 3 พ.ย. – เม็กซิโกซิตี้ เม็กซิโก
สนามที่ 20: 17 พ.ย. – เซาเปาโล บราซิล
สนามที่ 21: 1 ธ.ค. – อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
#2
แข่งขัน 20 คัน / 10 ทีม
ในการแข่งขัน F1 (Formula One) โดยปกติจะลงแข่งขันกันทั้งหมด 10 ทีม ทีมละ 2 คัน หมายความว่าในหนึ่งทีมจะมีนักแข่งที่สังกัดอยู่ในทีมเดียวกัน 2 คน ซึ่งจะช่วยกันทำอันดับในทุกๆสนามให้ดีที่สุดเพื่อสะสมคะแนน โดยมีแชมป์ประเภททีมเป็นเดิมพันเมื่อจบฤดูกาล
รายชื่อทีม นักแข่ง มีดังนี้ (อ้างอิงฤดูกาล 2019)
1. ชื่อทีม: เมอร์เซเดส (Mercedes AMG Petronas Motorsport)
นักแข่ง: 44 Lewis Hamilton (สหราชอาณาจักร) และ 77 Valtteri Bottas (ฟินแลนด์)
2. ชื่อทีม: เฟอร์รารี่ Ferrari (Scuderia Ferrari)
นักแข่ง: 5 Sebastian Vettel (เยอรมัน) และ 16 Charles Leclerc (โมนาโก)
3. ชื่อทีม: เร้ดบูล Red Bull (Aston Martin Red Bull Racing)
นักแข่ง: 33 Max Verstappen (ฮอลแลนด์) และ 10 Pierre Gasly (ฝรั่งเศส)
4. ชื่อทีม: แม็คลาเรน McLaren (McLaren F1 Team)
นักแข่ง: 55 Carlos Sainz (สเปน) และ 4 Lando Norris (สหราชอาณาจักร)
5. ชื่อทีม: เรซซิง พ้อยน์ Racing Point (SportPesa Racing Point F1 Team)
นักแข่ง: 11 Sergio Perez (เม็กซิโก) และ 18 Lance Stroll (แคนาดา)
6. ชื่อทีม: ฮาส Haas (Rich Energy Haas F1 Team)
นักแข่ง: 8 Romain Grosjean (ฝรั่งเศส) และ 20 Kevin Magnussen (เดนมาร์ก)
7. ชื่อทีม: อัลฟ่า โรเมโอ Alfa Romeo Racing (Alfa Romeo Racing)
นักแข่ง: 7 Kimi Räikkönen (ฟินแลนด์) และ 99 Antonio Giovinazzi (อิตาลี)
8. ชื่อทีม: เรโนลต์ (Renault Sport Formula One Team)
นักแข่ง: 27 Nico Hulkenberg (เยอรมัน) และ 3 Daniel Ricciardo (ออสเตรเลีย)
9. ชื่อทีม: โตโร รอสโซ Toro Rosso (Red Bull Toro Rosso Honda)
นักแข่ง: 26 Daniil Kvyat (รัสเซีย) และ 23 Alexander Albon (ไทย)
10. ชื่อทีม: วิลเลียมส์ Williams (ROKiT Williams Racing)
นักแข่ง: 88 Robert Kubica (โปแลนด์) และ 63 George Russell (รัสเซีย)
เกร็ดความรู้
แชมป์โลกฟอร์มูล่าวันคนปัจจุบันคือ ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์ 5 สมัย ให้กับทีมเมอร์เซเดส โดยนักขับแชมป์โลกที่ลงแข่งขันในฤดูกาลนี้มีทั้งหมด 3 คนด้วยกัน นอกจาก แฮมิลตัน (แชมป์ปี 2008 2014, 2015, 2017 และ 2018) แล้วก็ยังมี เซบาสเตียน เวทเทล (2010-2013) และ คิมี่ ไรค์โคเน่น (2007) แต่จอมเก๋าอย่าง เฟอร์นันโด อลอนโซ่ อดีตแชมป์ 2 สมัย (2005, 2006) ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันในปีนี้ หลังประกาศอำลาฟอร์มูล่าวันไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว (2018)
#3
ระบบสะสมแต้มคล้ายลีกฟุตบอล
การแข่งขัน F1 จะเป็นระบบเก็บคะแนนสะสมคล้ายกับลีกฟุตบอล ซึ่งในแต่ละสนามถ้าใครเข้าเส้นชัยอันดับที่ 1 ถือเป็นผู้ชนะ และจะได้คะแนนเก็บสูงสุด ส่วนผู้ที่ได้อันดับรองลงมา ก็จะได้คะแนนสะสมลดหลั่นกันลงมาดังนี้
อันดับ 1 ได้ 25 คะแนน / สนาม
อันดับ 2 ได้ 18 คะแนน / สนาม
อันดับ 3 ได้ 15 คะแนน / สนาม
อันดับ 4 ได้ 12 คะแนน / สนาม
อันดับ 5 ได้ 10 คะแนน / สนาม
อันดับ 6 ได้ 8 คะแนน / สนาม
อันดับ 7 ได้ 6 คะแนน / สนาม
อันดับ 8 ได้ 4 คะแนน / สนาม
อันดับ 9 ได้ 2 คะแนน / สนาม
อันดับ 10 ได้ 1 คะแนน / สนาม
*ต่ำกว่าอันดับ 10 จะไม่ได้คะแนนในสนามนั้น
และยังมีแต้มพิเศษเพิ่มให้อีก 1 คะแนนด้วย สำหรับผู้ที่สามารถ ทำรอบได้เร็วที่สุด หรือที่เรียกกันว่า FASTEST LAPS ของสนามนั้น โดยจะให้กับนักแข่งที่ติด Top10 หรือ 1 ใน 10 เท่านั้น (เช่น หากเข้าที่ 1 จะได้ 25 คะแนน และหากทำรอบได้เร็วที่สุดด้วยก็จะ +1 คะแนน = ได้รับคะแนนในสนามนั้น 26 คะแนน)
เมื่อจบฤดูกาลก็จะยังมีการมอบรางวัลพิเศษให้กับผู้ที่สามารถทำ FASTEST LAPS ได้จำนวนครั้งมากที่สุดอีกด้วย
#4
1 ฤดูกาล มี แชมป์เดี่ยว / แชมป์ทีม
เมื่อการแข่งขันจบฤดูกาล นักขับที่ทำแต้มสะสมได้มากที่สุดรวมกันทุกสนาม จะได้เป็นแชมป์โลก ส่วนทีมที่ทำคะแนนสะสมรวมจากรถทั้ง 2 คันได้มากที่สุด จะได้เป็นแชมป์โลกในประเภททีม
#5
ทุกสนาม แข่ง 3 วัน ศุกร์-ซ้อม เสาร์-ควอลิฟาย อาทิตย์-แข่งจริง
วันศุกร์ – ฝึกซ้อมครั้งที่ 1 (ประมาณ 1:30 ชม.), ฝึกซ้อมครั้งที่ 2 (1:30 ชม.)
วันเสาร์ – ฝึกซ้อมครั้งที่ 3 (ประมาณ 1:00 ชม.), รอบควอลิฟาย* (ประมาณ 1:00 ชม.)
วันอาทิตย์ – แข่งขันจริง (ประมาณ 1:30 – 2 ชม.)
#6
หาจุดสตาร์ทวันแข่งจริง = ใครเร็วสุดอยู่หน้า ช้าสุดอยู่หลัง (วันเสาร์)
รอบควอลิฟาย (Qualifying) คือการแข่งขันเพื่อจัดอันดับการออกสตาร์ท โดยจะแข่งกันรอบสุดท้ายหลังจากซ้อมครั้งที่ 3 เสร็จ ในวันเสาร์ นักขับที่ทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุดของรอบควอลิฟายจะได้ออกสตาร์ทเป็นอันดับที่ 1 ในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันแข่งขันจริง (Pole Position) ของทุกสนาม
รอบควอลิฟายแบ่งออกเป็น 3 ช่วงย่อย ดังนี้
รอบควอลิฟาย Q1
ใช้เวลา 18 นาที ผู้ที่ทำเวลาช้าที่สุด 5 คันจะถูกคัดออก และได้อันดับสตาร์ทในอันดับที่ 16-20
รอบควอลิฟาย Q2
ใช้เวลา 15 นาที สำหรับรถ 15 คัน เวลาจาก Q1 จะถูกล้าง และแข่งขันจับเวลากันใหม่ ผู้ที่ทำเวลาช้าที่สุดอีก 5 คันจะถูกคัดออก และได้อันดับสตาร์ทในอันดับที่ 11-15
รอบควอลิฟาย Q3
ใช้เวลา 12 นาที สำหรับรถ 10 คันสุดท้าย เวลาจาก Q2 จะถูกล้างและแข่งขันจับเวลากันใหม่ และได้อันดับสตาร์ทในอันดับที่ 1-10 ส่วนผู้ที่ทำเวลาเร็วที่สุดจะได้ออกตัวจากกริดสตาร์ทอันดับที่ 1 หรือที่เรียกว่าตำแหน่งโพล (Pole Position) ซึ่งเป็นตำแหน่งสตาร์ทที่ดีที่สุด
#7
แข่ง 50-70 รอบ ต่อ 1 สนาม
ในแต่ละสนามจะแข่งกันที่ระยะทางประมาณ 300 กม. ซึ่งถ้านับเป็นรอบก็อยู่ที่ประมาณ 50-70 รอบ ขึ้นอยู่กับความยาวรอบ ต่อรอบ (Lap) ของแต่ละสนาม
*Interval คือระยะห่างระหว่างผู้นำ และผู้ตาม ซึ่งระบบจะคำนวนช่วงห่างออกมาเป็นวินาที
#8
เข้าพิท รถหยุด เวลาไม่หยุด
ในการแข่งขัน F1 นั้น กฏในปัจจุบันกำหนดให้มีการเข้าพิทอย่างน้อย 1 ครั้ง/สนาม และต้องใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาที ต่อการเข้าพิท 1 ครั้ง รวมทั้งไม่มีการเติมน้ำมันระหว่างเข้าพิท รถทุกคันต้องเติมก่อนเริ่มการแข่งขันให้เพียงพอกับระยะทางที่แข่ง
การเข้าพิทนับเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการแข่งขัน เพราะถ้ารถเข้าพิทเวลาไม่ได้หยุดตาม ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ผู้ชนะ และปราชัยจะถูกตัดสินกันในเสี้ยววินาที ฉะนั้นการแบ่งหน้าที่ และการฝึกซ้อมทำพิทจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทีมช่างพิทจะมีกันอยู่ราว ๆ 20 คน ซึ่งจะแบ่งหน้าที่กันยกแม่แรง ขันน็อตล้อ ใส่ล้อ ปรับองศาปีก ทำความสะอาดช่องหม้อน้ำ เป็นต้น
#9
ยางรถ F1 5 สี 7 คุณสมบัติ
ระหว่างการแข่งขันจะมีการเข้าพิทเพื่อเปลี่ยนยาง โดยยางของรถ F1 มี 5 สีและ 7 คุณสมบัติด้วยกัน ที่ใช้ในปัจจุบันมาจากผู้ผลิตรายเดียว คือยี่ห้อ ปิเรลลี่ (Pirelli) ของอิตาลี ประเภทของยางแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือยางสำหรับพื้นสนามแห้ง (slick) และยางสำหรับสนามเปียก ซึ่งแต่ละประเภทยังแบ่งเป็นชนิดย่อยได้ดังนี้
ยางแห้ง:
แถบสีขาว C1 = ยางฮาร์ดเดส (Hardest) มีความแข็งมากที่สุด
แถบสีขาว C2 = ยางมีเดียม (Medium) มีความแข็งรองลงมา
แถบสีเหลือง C3 = ยางซอฟต์ (Soft) มีความนุ่ม
แถบสีแดง C4 = ยางอัลตร้าซอฟต์ (Ultra Soft) มีความนุ่มรองลงมา
แถบสีแดง C5 = ยางไฮเปอร์ซอฟต์ (Hyper Soft) มีความนุ่มมากที่สุด
ยางเปียก:
แถบสีเขียว = ยางอินเตอร์มีเดียต (Intermediate) สำหรับพื้นกึ่งเปียกกึ่งแห้ง
แถบสีฟ้า = ยางฟูลเว็ท (Full Wet) พื้นที่เปียกมาก มีน้ำขัง
กลยุทธ์การเลือกยาง
ยิ่งยางนิ่มจะสามารถทำความเร็วได้ดี แต่ก็จะเสื่อมสภาพเร็วกว่าด้วย ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกยาง และเข้าพิท (Pit) จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในแต่ละสนาม ทีมสามารถเลือกใช้ยางสำหรับพื้นแห้งได้ 3 ประเภท โดยกรรมการจะกำหนดไว้ก่อนตามความเหมาะของแต่ละสนาม
#10
10 ธง ส่ง 10 สัญญาณให้นักแข่ง
#ธงเหลืองเดี่ยว – มีอันตรายอยู่ข้างหน้า ให้เตรียมลดความเร็ว
#ธงเหลืองคู่ – มีอุบัติเหตุอยู่ข้างหน้า ให้ลดความเร็วลงทันที
*ห้ามแซงภายใต้ธงเหลืองใดๆ โดยเด็ดขาด
#ธงฟ้า – บอกให้รถช้าที่กำลังจะถูกน็
#ธงเขียว – แทร็คกลับเข้าสู่สภาวะปกติ นักแข่งใช้ความเร็วในการแข่
#ธงแดง – หยุดช่วง ไม่ว่าจะเป็นในการแข่งขันหร
#ธงแดง – หยุดช่วง ไม่ว่าจะเป็นในการแข่งขันหร
#ธงขาว – ให้ระวังพาหนะเคลื่อนที่ช้า
#ธงดำพร้อมหมายเลขนักขับ – รถคันนั้นต้องกลับเข้าพิตโด
#ธงครึ่งขาวครึ่งดำพร้อมหมา
#ธงดำจุดกลมสีส้มตรงกลางพร้
#ธงเหลืองสลับแดง – ระวังแทร็คลื่นข้างหน้า มักเกิดจากมีน้ำมันหรือน้ำบ
#ธงตราหมากรุก – จบการแข่งขันหรือในรอบควอลิ
#แถม!
เครื่อง F1 เสียงเล้ามันส์ๆ
อีกหนึ่งเสน่ห์ของการรับชม F1 คือ เสียงเครื่องยนต์ของรถแข่งที่วิ่งผ่านลำโพง หรือถ้าลองใช้หูฟังจะยิ่งได้อรรถรส เรียกว่าตีโค้งเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ปลุกเร้าอารมณ์ได้เป็นอย่างดี