เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ เคยได้รับการกล่าวถึงว่าจะเป็นผู้เล่นตัวความหวังแห่งวงการฟุตบอลเยอรมันในยุคที่ทีม “อินทรีเหล็ก” ยังขาดแคลนผู้เล่นดาวรุ่งฝีเท้าโดดเด่นในทีมชาติ
จุดเริ่มต้นอาชีพ
เขาเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสรโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ด้วยวัยเพียง 17 ปี และด้วยความที่ได้ซึมซับวิชาลูกหนังจาก สเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก จอมทัพแห่งทีม “สิงห์หนุ่ม” อยู่หลายปี จนภายหลังการประเดิมสนามในศึกบุนเดสลีกา หลายคนก็ต่างยกย่องให้เขาเป็นทายาทในตำแหน่งกองกลางแห่ง โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
จุดเปลี่ยนแรกบนเส้นทางอาชีพของ ไดส์เลอร์ นั่นคือการที่สโมสรกลัดบัค ต้องตกชั้น ในฤดูกาล 1998/99 ด้วยการจบที่อันดับ 18 บนตารางคะแนน ทำให้สโมสรแฮร์ธ่า เบอร์ลิน ซึ่งถือว่าเป็นทีมใหญ่ในศึกบุนเดสลีกา เยอรมันเวลานั้น รีบฉกตัวเด็กหนุ่มคนนี้เข้ารังทันที
เวลาต่อมา ไดส์เลอร์ เริ่มแสดงให้ทุกคนที่แฮธ่า เบอร์ลิน ได้เห็นถึงพรสวรรค์ในฝีเท้า ด้วยวิสัยทัศน์ในการเล่นที่ดูกว้างไกล ไอเดียสร้างสรรค์สุดชาญฉลาด บวกกับเทคนิคที่ยอดเยี่ยม และจุดเด่นสำคัญคือการเปิดบอลด้วยเท้าขวาอันแม่นยำ แถมมีอาวุธเด็ดนั่นคือลูกยิงฟรีคิกแม่นราวกดรีโมท ทำให้ชื่อของ เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ ได้รับการกล่าวถึงในวงการลูกหนังเยอรมันเป็นอย่างมาก
ลางร้ายที่เริ่มก่อตัว
แต่คล้ายลางร้ายที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้าครอบคลุมพรสวรรค์อันสูงส่ง ไดส์เลอร์ มักเจออาการบาดเจ็บรุมเร้าจนทำให้เขาต้องพลาดการลงสนามเป็นระยะ หัวเข่าขวา, เส้นเอ็นหัวเข่า, กล้ามเนื้อต้นขาฉีก, ผ่าตัดข้อต่อบริเวณหัวเข่า, เลือดออกในหัวเข่า และก็วนเวียนเป็นอยู่อย่างนี้ ซึ่งตลอด 3 ฤดูกาลเขามีโอกาสลงเล่นให้ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน เพียง 57 เกม
อย่างไรก็ตามแม้โอกาสลงสนามจะน้อย แต่ยามใดที่ ไดส์เลอร์ ยืนอยู่ในสนาม เขาก็มักแสดงให้เห็นถึงฝีเท้าชั้นเลิศอยู่เสมอแน่นอนว่าเมื่อทีมชาติเยอรมันได้ประกาศเรียกผู้เล่นติดทีมชาติชุดลุยศึกยูโร 2000 ชื่อของ ไดส์เลอร์ ก็อยู่ในทีมชุดดังกล่าว แต่ในศึกฟุตบอลยูโรหนนั้น เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ไม่อาจแบกความหวังคนทั้งชาติได้สำเร็จ โดยเยอรมันต้องจบเส้นทางชิงแชมป์ยุโรปไว้เพียงแค่รอบแรกอย่างน่าผิดหวัง
ต่อมาในปี 2002 แม้ยังมีอาการบาดเจ็บคอยรบกวน แต่ ไดส์เลอร์ กลับได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่เยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วนในฝีเท้า มันดีพอที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในถิ่น ‘เสือใต้’ แน่นอน แต่ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บยังคงตามรังควานเขาอย่างไม่เลิกลา
ช่วงเวลาที่ต้องอยู่บนเตียงนอนในโรงหมอมากกว่าบนผืนหญ้า นอกจากจะทำให้ ไดส์เลอร์ ต้องห่างเหินจากฟุตบอล สภาพจิตใจของเขายังถูกบั่นทอนจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังจนส่งผลให้เขาต้องกลายเป็นโรคซึมเศร้า
“ผมไม่อาจลงเล่นอย่างมีความสุขได้เลย เพราะในหัวมันเอาแต่กังวลวิตกว่าเดี๋ยวจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอีกแน่กับหัวเข่าของผม และมันทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”
“การลงเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ได้เงินค่าเหนื่อยเยอะ ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการมันเหมือนการทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่สุดท้ายแล้วมันไม่ส่งผลดีทั้งต่อตัวผมและทีม” ไดส์เลอร์ ระบายถึงความกังวลในจิตใจ
“และผมไม่ใช่ดาวจรัสแสงอย่างที่ใคร ๆ คาดหวังกันหรอก ผมก็แค่โคมไฟที่โดดเดี่ยวอยู่บนเพดาน”
คำพูดจากปากของอดีตมิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันที่ชื่อเซบาสเตียน ไดส์เลอร์ บ่งบอกถึงความปวดร้าวจากโรคซึมเศร้าที่กัดกินจิตใจเค้าได้อย่างชัดเจนที่สุด
การอำลาก่อนวัยอันควร
เวลานั้นจากคนที่เคยเป็นความหวังของคนทั้งวงการฟุตบอลเยอรมัน กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่คนทั้งวงการต้องยื่นมือเข้ามาช่วยฉุดดึงเขาให้ขึ้นมาจากหลุมลึกมืดดำ แม้แต่ทีมชาติก็พยายามช่วยเขาด้วยการส่งลงเล่นในศึกคอนเฟดเดอเรชั่นทุกเกมในปี 2005 ก่อนที่ศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพจะมาถึง
ทุกอย่างเหมือนกำลังจะดีขึ้น แต่ผลลัพธ์สุดท้าย ไดส์เลอร์ เกิดอาการบาดเจ็บซ้ำเดิมที่เข่าขวาก่อนศึกฟุตบอลโลกจะเปิดฉาก นั่นทำให้เขาชวดหนึ่งโอกาสที่ดีในอาชีพไปอย่างน่าเสียดาย และแน่นอนว่ามันทำให้สภาพจิตใจของเขาตกอยู่ในความสิ้นหวังดิ่งลึกลงไปอีก ความผิดหวังทั้งมวลที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นแผลกดทับอยู่ในจิตใจ จนสุดท้ายในวัยเพียง 27 ปีเท่านั้น เซบาสเตียน ไดส์ เลอร์ ก็ได้ตัดสินใจแขวนสตั๊ด อำลาอาชีพนักเตะ
“ครั้งหนึ่งผมคาดหวังว่าจะมีความสุขกับฟุตบอลให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความจริงคือผมอยู่ห่างไกลจากมันมากเหลือเกิน ผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับโลกฟุตบอลเลยด้วยซ้ำไป” แข้งพรสวรรค์สูง กล่าว
ในปีที่ ไดส์เลอร์ ตัดสินใจเลิกเล่น สโมสรบาร์เยิร์น มิวนิค ยังคงเก็บพื้นที่ในห้องแต่งตัวของทีมไว้ให้เค้า เพราะหวังว่าบาสตี้จะเปลี่ยนใจกลับมา
แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยสภาพจิตใจที่ซึมเศร้าและหดหู่ ส่งผลให้ความมั่นใจที่จะกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งกลายเป็นความสิ้นหวัง
“เมื่อมันนำความเจ็บปวดมาให้ ผมก็ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทางไหน ตอนนี้ผมต้องการจะมีเวลาให้กับครอบครัวเล็ก ๆ ของผม อาจไปพักผ่อนที่ไหนสักที่ มีเวลาให้ตัวเองมาก ๆ”