ในโลกแห่งฟุตบอลยุคนี้ เรามักจะได้ยินใครต่อใครพูดกันว่า หากต้องการประสบความสำเร็จเป็นแชมป์รายการใหญ่ ๆ สักถ้วย ก็ต้องยอมทุ่มเงินเพื่อเสริมทัพขึ้นมาให้มากกว่าชาวบ้านหน่อย
แต่หลาย ๆ ครั้งสิ่งที่ว่านี้ก็ถูกพิสูจน์แล้วว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะถึงแม้จะมีบางทีมที่ลงทุนจนเพื่อนร่วมลีกมองตามแบบอ้าปากค้างแล้วได้แชมป์แบบทันควัน แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ สโมสรที่เหมือนเอาเงินก้อนไปเททิ้งลงแห่งแม่น้ำแบบไม่ได้อะไรกลับมา
ส่วนทีมประเภทที่ว่านั้นจะมีใครบ้าง ลองไปชมกัน
1. ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส – ฤดูกาล 2013/14
หลังจากที่ทีมไก่เดือยทองจัดการขาย แกเร็ธ เบล ให้กับ เรอัล มาดริด ไปด้วยค่าตัวที่สูงเป็นสถิติโลกตอนนั้น (85 ล้านปอนด์) พวกเขาก็ทำตัวราวกับเป็นสามล้อถูกหวย ไล่กว้านซื้อนักเตะหน้าใหม่เข้ามาสู่ทีมมากถึง 7 คนด้วยกัน
ซึ่งหากดูกันตามชื่อเสียงเรียงนามแล้วต้องบอกว่า พี่เขาไม่ใช่ซื้อมาส่งเดชเลย เพราะมีแต่เบอร์แจ่ม ๆ ทั้งนั้น อาทิ เปาลินโญ, นาเซอร์ ชาดลี, โรแบร์โต ซอลดาโด, เอเตียง กาปู, วลาด ชิริเชส, คริสเตียน อีริคเซน และ เอริค ลาเมลา
แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ฟอร์มการเล่นของพวกเขากลับออกทะเลสุดกู่จนกระทั่งกุนซือผู้กว้านซื้อแข้งดังเหล่านั้นเข้ามาอย่าง อังเดร วิลลาส โบอาส ต้องถูกเด้งออกจากตำแหน่งไปตั้งแต่ยังไม่ผ่านพ้นครึ่งแรกของฤดูกาลเลยด้วยซ้ำ
ส่วนมูลค่าการลงทุนก็จิ๊บ ๆ แค่ 109 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง
2. ลิเวอร์พูล – ฤดูกาล 2014/15
เช่นเดียวกันกับ สเปอร์ส เพราะหลังจากที่ ลิเวอร์พูล ปล่อยตัว หลุยส์ ซัวเรซ ออกไปอยู่กับ บาร์เซโลนา ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมในขณะนั้นก็เหมือนกับจะแสดงความล่กออกมาเล็ก ๆ เมื่อแข้งความหวังอันสูงสุดไม่ได้อยู่ให้ใช้บริการอีกต่อไป
กุนซือตาหวานจึงได้พยายามที่จะใช้เงินในมือกว้านซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาทดแทนรูโหว่ดังกล่าว แต่แทนที่จะคัดเอาคนคุณภาพเข้ามาแบบเน้น ๆ กลับไปหว่านแห สอยแข้งเกรด B ที่มีค่าตัวอยู่ในระหว่าง 15-25 ล้านปอนด์ เข้ามาหลายคน (รวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะโชว์ฟอร์มไม่ได้ดีตามที่คาดหวังไว้ อาทิ
ริคกี้ แลมเบิร์ต, เดยัน ลอฟเรน, อดัม ลัลลานา, เอมเร ชาน, ลาซาร์ มาร์โควิช, อัลแบร์โต โมเรโน, ดิวอค โอริกี, มาริโอ บาโลเตลลี รวมถึงตัวยืมอย่าง ฮาเวียร์ มานกิโญ ด้วยเช่นกัน
สนนราคาค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ บีร็อด ควักไปนั้นอยู่ที่ 117 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
แต่แล้วปีนั้นกลับเป็นฤดูกาลอันย่ำแย่ของทีมหงส์แดง เพราะเมื่อเทียบฟอร์มการเล่นกับสโมสรระดับท็อปอื่น ๆ ในลีก ต้องบอกว่าพวกเขานั้นห่วยสุด ก่อนจะปิดฤดูกาลด้วยอันดับ 6 และพ่ายให้ สโต๊ค ย่อยยับ 6-1 ในเกมสุดท้ายด้วยเช่นกัน
3. เอซี มิลาน – ฤดูกาล 2017/18
สำหรับทีมยักษ์หลับแห่ง กัลโช เซเรียอา นี้ ต้องบอกว่าพวกเขาจำเป็นอย่างยิ่งกับการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาอะไรบางอย่าง เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าตกต่ำกว่าในอดีตราวฟ้ากับก้นเหวเลยทีเดียว
แน่นอนว่าวิสัยทัศน์ของผู้บริหารและ วินเซนโซ มอนเตลลา ผู้เป็นกุนซือนั้น ถือว่าโอเคแล้ว เพราะพวกเขาต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อพาสโมสรกลับไปสู่จุดที่ควรจะเป็น แม้ต้องลงทุนมหาศาลแค่ไหนก็ตาม
ลีโอนาร์โด โบนุชชี, อันเดร ซิลวา, ฮาคาน คาลฮาโนกลู, มาเตโอ มูซาชชิโอ, ริคาร์โด โรดริเกวซ, ลูคัส บีเกลีย, อันเดรีย คอนติ, แฟรงค์ เคสซี, ฟาบิโอ บอรินี และ นิโคลา คาลินิช คือบรรดาแข้งหน้าใหม่ที่ถูกเสริมเข้ามาในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยมีค่าตัวรวมกันสูงถึง 240.8 ล้านยูโร
แต่ปีศาจแดง-ดำที่คาดหวังว่าตัวเองจะต้องระเบิดฟอร์มแจ่มจนได้โควต้ากลับไปโลดแล่นบนเวทียูฟา แชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า กลับทำให้ทุกฝ่ายผิดหวัง เพราะเหล่าแข้งดังที่ทุ่มซื้อมาใหม่ กับคนหน้าเก่า นั้นไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้เลย จนถึงขนาดว่า เปาโล มัลดินี ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ยังยอมรับว่า ปีนี้ทีมรักของตนนั้นไม่ดีพอจะก้าวขึ้นไปติด TOP 4 ของลีกกัลโช ได้เลยด้วยซ้ำ
4. เอฟเวอร์ตัน – ฤดูกาล 2017/18
ตลอดช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา หลาย ๆ คนเห็นการทุ่มทุนสร้างของ ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน เอฟเวอร์ตัน แล้วต้องยอมรับว่ามีอิจฉากันบ้าง เพราะหลังจากที่เปลี่ยนเข้าของใหม่มาเป็นเศรษฐี พวกเขาก็จ่ายเงินซื้อตัวผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามารัว ๆ แบบไม่กลัวขนหน้าแข้งร่วง
โดยส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะทีมเพิ่งปล่อย โรเมลู ลูกากู สไตรเกอร์คนสำคัญออกไปให้ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมรับเงินก้อนโต 75 ล้านปอนด์เข้ากระเป๋า เลยจัดหนักโชว์ของหาคนมาทดแทนกันสักหน่อย โดยเริ่มจาก เวย์น รูนีย์ ที่ได้มาฟรี ๆ เหมือนเป็นของกำนัลจากดีล ลูกากู
จากนั้น โรนัลด์ คูมัน ก็ไปสอยแข้งใหม่เข้ามามากถึง 14 คน โดยมีอย่างน้อย 6-7 รายที่ดีพอจะยืนเชิดหน้าชูตาอยู่บนทีมชุดใหญ่ เช่น กิลฟี ซิเกิร์ดสัน เป็นตัวชูโรง ตามด้วย ไมเคิล คีน, จอร์แดน พิคฟอร์ด, ดาวี คลาสเซน, ซานโดร รามิเรซ ฯลฯ
แต่แล้วพอเข้าสู่การแข่งขันจริง คนที่โชว์ฟอร์มได้เข้าตากลับมีแค่ พิคฟอร์ด ในตำแหน่งผู้รักษาประตู กับ เสี่ยหมู ที่ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโตดึงเข้ามา ที่เหลือออกทะเลเละตุ้มเป๊ะ โดยเฉพาะ ซิเกิร์ดส์สัน นั้นเรียกว่าทำให้แฟน ๆ เสียดาย 45 ล้านปอนด์ ที่จ่ายให้ หงส์ขาว สวอนซี ไปเลยทีเดียว
และด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดแย่ ก็ส่งผลร้ายแรงตามมาสู่ โรนัลด์ คูมัน ทันที เพราะเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งแบบฟ้าผ่า ไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ทีนี้ก็ต้องมาลุ้นกันละว่า เอฟเวอร์ตัน ของเราจะกลับคืนสู่เส้นทางที่ดีภายใต้การนำของผู้จัดการทีมคนใหม่ได้หรือไม่
5. บาเลนเซีย – ฤดูกาล 2015/16
ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา นอกจาก บาร์เซโลนา และ เรอัล มาดริด แล้ว ในยุคที่ แอตเลติโก มาดริด ยังไม่ได้แกร่งอย่างทุกวันนี้ ก็มี เจ้าค้างคาว บาเลนเซีย นี่แหละที่พอจะสู้กันขึ้นมาได้แบบพอฟัดพอเหวี่ยงหน่อย
แต่อยู่ ๆ อดีตแชมป์ลาลีกาปี 2002 และ 2004 ก็ทำตัวสันโดษ ค่อย ๆ เงียบหายเข้าไปอยู่ก้นถ้ำวังค้างคาว แบบที่ไม่ได้สร้างผลงานโดดเด่นให้เห็นเลยในระยะหลัง จนกระทั่ง 2 ซีซั่นก่อน ฝ่ายผู้บริหารได้โชว์วิสัยทัศน์อันน่าทึ่งว่า หากต้องการพลิกสถานการณ์ให้ทีมกลับมาผงาดอยู่บนระดับท็อปของทวีปยุโรปได้อีกครั้งก็จำเป็นต้องลงทุนบ้าง จึงได้ซื้อแข้งใหม่เข้ามาหลายคนรวมเป็นเงินสูงถึง 131 ล้านยูโร !
แมทธิว ไรอัน, ซานติ มินา, ซากาเรีย บัคคาลี, ดานิโล, อเดอลัน ซานโตส, ไอเมน อับเดนนัวร์, อัลวาโร เนเกรโด, เจา คอนเซโล, อังเดร โกเมส, โรดริโก คือชื่อของนักเตะที่ย้ายเข้ามาเป็นขุมกำลังใหม่ให้ บาเลนเซีย
แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะแข้งใหม่เก่ง ๆ มารวมตัวกันเยอะเกินหรือเปล่า ส่วนผสมเลยไม่ค่อยจะลงตัวเท่าไหร่นัก ทำให้ฟอร์มออกทะเล จนต้องมีการใช้งานกุนซือมากถึง 4 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ แกรี เนวิลล์ ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าด้วยเช่นกัน
สุดท้ายก็ได้ ปาโก อเยสเตรัน อดีตมือขวาของ ราฟาเอล เบนิเตซ มาช่วยกู้ชีวิตจนจบฤดูกาลนั้นไปด้วยอันดับ 12