ยังคงอยู่ในบรรยากาศของมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติอย่าง โอลิมปิก 2024 ที่ครั้งนี้มีประเทศฝรั่งเศสที่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ โดยหนึ่งในกีฬาที่เป็นไฮไลท์ของโอลิมปิกหนนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือการแย่งชิงเหรียญทอง ในกีฬาประเภทฟุตบอลชาย ที่ถึงตอนนี้ได้ 8 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในอดีตที่ผ่านมาทัวร์นาเมนต์ โอลิมปิก ถือเป็นเวทีแจ้งเกิดสำหรับเหล่าบรรดาดาวรุ่งหลายๆคน แข้งโนเนมมากมายฉวยโอกาสแจ้งเกิดให้กับตัวเองในรายการนี้ และยังใช้ผลงานในศึกกีฬาห้าห่วงเป็นใบเบิกทางเพื่อต่อไล่ตามความฝันในการย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรชั้นนำในยุโรป

โดยกีฬาฟุตบอลชายในกีฬาโอลิมปิกแต่ละครั้งก็จะมีเรื่องราวต่างๆ ให้พูดถึงมากมายมาจนถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสเน่ห์และสีสันของวงการลูกหนังโลกได้เหมือนกัน ดังนั้นวันนี้เราจะขอย้อนเวลาพาไปชม “5 เหรียญทองในความทรงจำ กับศึกลูกหนังโอลิมปิก” กันหน่อย ว่ามีเหตุการณ์ไหนยังอยู่ในความทรงจำและยังจดจำได้ถึงทุกวันนี้

โอลิมปิก 1992 ณ บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน

ศึก โอลิมปิก 1992 ที่ บาร์เซโลน่า แน่นอนว่าทีมชาติสเปน ถูกยกให้เป็นทีมเต็งลำดับต้นๆ จากการได้เป็นเจ้าภาพ โดยในรอบแบ่งกลุ่มพลพรรค กระทิงดุ ภายใต้การคุมทีมของ บิเซนเต้ มิเอร่า สามารถเอาชนะ โคลัมเบีย 4-0 ชนะ อียิปต์ 2-0 ชนะ กาตาร์ 2-0

แถมในรอบน็อกเอ๊าต์ สเปน ที่มีขุนพลเอกอย่าง หลุยส์ เอ็นริเก้ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นตัวชูโรง ยังปราบทั้ง อิตาลี 1-0 สอย กาน่า 2-0 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับโปแลนด์โดยที่ยังไม่เสียประตูเลยแม้แต่ประตูเดียว ก่อนจะพิชิต โปแลนด์ ในรอบชิงชนะเลิศ 3-2 ณ สนาม คัมป์ นู คว้าเหรียญทองมาคล้องคอแบบไร้พ่ายนั่นทำให้ สเปน กลายเป็นเจ้าภาพประเทศแรกที่คว้าเหรียญทองในการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิก นับตั้งแต่ที่เบลเยียมเคยทำได้ ในปี 1920

โอลิมปิก 1996 ณ แอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา

ทัพอินทรีมรกต กับปรากฏการณ์ที่พวกเขาสร้างเอาไว้ในศึกกีฬาโอลิมปิก 1996 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ใช้กฏกำหนดอายุผู้เล่นไม่เกิน 23 ปี และอนุญาตให้มีผู้เล่นอายุเกิน 23 ปีได้สูงสุด 3 คนต่อทีม โดยฟุตบอลชายหนนั้นมีเหตุการณ์ช็อคโลกเกิดขึ้นเมื่อ ไนจีเรีย ภายใต้การคุมทีมของ โจ บอนเฟร์เร กุนซือชาวดัตช์ จัดการล้มยักษ์ทั้งบราซิล และ อาร์เจนติน่า ผงาดคว้าเหรีญทองมาคล้องคอแบบที่ไม่มีใครคาดคิด

ไนจีเรีย ผ่านรอบแบ่งดลุ่มได้แบบทุลักทุเล โดยบราซิล, ไนจีเรีย และ ญี่ปุ่น ผลัดกันแพ้ชนะแบบงูกินหางจนมี 6 แต้มเท่ากันทั้ง 3 ทีม แต่เป็น ไนจีเรีย ที่ได้ผ่านเข้ารอบด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่า ญี่ปุ่น ก่อนจะโชว์ฟอร์มหรูเอาชนะ เม็กซิโก ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เกมรอบรองชนะเลิศ ไนจีเรีย โคจรมาพบกับ บราซิล อีกครั้ง โดยรูปเกมในรอบตัดเชือก แซมบ้า เหนือกว่าทุกกระบวนท่าออกนำห่างถึง 3-1

จนกระทั่งช่วง 15 นาทีสุดท้าย เอ็นวานโก้ คานู และเหล่าผองเพื่อนก็สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการไล่ยิงตีเสมอ โกงความตายได้ในช่วงนาทีสุดท้ายของเกม สร้างขวัญกำลังใจให้กับทัพ อินทรีมรกต ในช่วงต่อเวลาพิเศษในเวอร์ชั่นโกลเด้นโกล และก็เป็น ไนจีเรีย ที่ได้ประตูชัยจากความเหนือชั้นของ คานู ผ่านเข้าไปชิงเหรียญทองกับ อาร์เจนติน่า ภายใต้การคุมทีมของ ดาเนียล พาสซาเรลล่า ที่นำโดยแข้งระดับประกาฬทั้ง อาเรียล ออร์เตก้า, เฮอร์นาน เครสโป, เคลาดิโอ โลเปซ, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ และ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่

สุดท้ายเหมือนฉายหนังซ้ำ ไนจีเรีย สร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้ง โดยแม้จะโดน อาร์เจนตินา นำไป 2-1 แต่ช่วง 30 นาทีสุดท้าย ไนจีเรีย พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ชนะได้สำเร็จ จากประตูของ ดาเนียล อาโมคาชี่ และ เอ็มมานูเอล อามูนิเก้ ที่ซัดประตูชัยในนาทีสุดท้ายของเกม ซึ่งประตูดังกล่าวเกิดจากการเช็คล้ำหน้าพลาดของ อาร์เจนติน่า เอง นั่นทำให้ ไนจีเรีย สร้างประวัติคัมแบ็กครั้งใหญ่ที่สุดในโอลิมปิกถึง 2 นัดติดต่อกัน และยังเป็นครั้งแรกที่ทีมจากแอฟริกาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้สำเร็จ

โอลิมปิก 2000 ณ ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

4 ปีต่อมามหกรรมกีฬา 5 ห่วงย้ายมาจัดที่ เอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ และสิ่งที่น่าสนใจก็คือการคว้าเหรียญทองของชาติจากทวีปแอฟริกาอย่าง แคเมอรูน ภายใต้การคุมทีมของ ฌอง พอล เอโคโน่ ที่มีขุนพลเอกอย่าง ซามูเอล เอโต้ ในวัย 19 ปี ,เฌเรมี่ เอ็นจิตั๊ป , โลร็องต์ เอตาเม่ และ แพทริค เอ็มโบม่า เป็นตัวชูโรง

ทัพหมอผี ผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะ คูเวต 3-2 ต่อด้วยการเสมอ อเมริกา กับ สาธารณรัฐเช็กด้วยสกอร์ 1-1 ทั้งสองนัด ผ่านเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เท่านั้นยังไม่พอ แคเมอรูน ยังล้มยักษ์ใหญ่อย่างบราซิลในรอบน็อคเอ้าต์ ในช่วงโกลเด้นโกล 2-1 ก่อนจะมาพิชิต ชิลี ในรอบรองชนะเลิศ 2-1

ขณะที่รอบชิงเหรียญทองมีสถิติผู้เข้าชมเกมที่สนามสูงถึง 104,098 คน ซึ่งทำลายสถิติก่อนหน้านี้ที่ 101,799 คน โดย  แคเมอรูน โคจรมาพบกับ สเปน ที่เต็มไปด้วยแข้งซูเปอร์สตาร์อย่าง คาร์เลส ปูโยล ,การ์ลอส มาเชน่า ,ชาบี เอร์นานเดซ ,ราอูล ตามูโด้ และ มิเกล อังกูโล่

โดยผลการแข่งขันในรอบชิงดำในเวลา 120 นาทีสกอร์เสมอกัน 2-2 ก่อนจะเป็น หมอผี แคเมอรูน ที่ดวลจุดโทษเอาชนะ กระทิงดุ ไปได้ 5-4 ครองเหรียญทองเป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์และยังกลายเป็นชาติจากทวีปแอฟริกา ชาติที่ 2 ที่คว้าเหรียญทองมาคล้องคอได้สำเร็จ หลังจากที่ ไนจีเรีย เคยทำได้มาแล้ว เมื่อ 4 ปีก่อนหน้านั้น 

โอลิมปิก 2008 ณ ปักกิ่ง ประเทศจีน

โอลิมปิก 2008 ถูกจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งและเมืองอื่นๆ อีก 4 เมืองในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยการแข่งขันฟุตบอลชายหนนี้ อาร์เจนติน่า กลายเป็นเต็ง 1 ของรายการ เนื่องจากพวกเขามี ลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์จาก บาร์เซโลน่า เป็นตัวชูโรง โดยในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาเก็ยชัย 3 เกมรวด คว้า 9 แต้มเต็มทะยานเข้าสู่รอบน็อคเอาต์ ไปดวลกับ เนเธอร์แลนด์ และสามารถผ่านไปได้ ด้วยการเอาชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษจากประตูของ เมสซี่ และ อังเคล ดิ มาเรีย

รอบรองชนะเลิศนับเป็นเกมที่ทุกคนรอคอย เนื่องจาก อาร์เจนติน่า ต้องโคจรมาพบกับ บราซิล โดยเกมเป็นทัพ ฟ้า-ขาว ที่ถล่มเอาชนะ บราซิล 3-0 จาก 2 ประตู เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ และจุดโทษของ ฮวน โรมัน ริเคลเม่ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ ไนจีเรีย เจ้าของแชมป์ 1 สมัยในปี 1996 โดยเกมในรอบชิงชนะ อาร์เจนติน่า สามารถล้างตา ไนจีเรีย ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะไป 1-0 จากประตูชัยของ อังเคล ดิ มาเรีย คว้าเหรียญทองไปครอง และยังเป็นเหรียญทอง โอลิมปิก สมัยแรกของ ลิโอเนล เมสซี่ ด้วย

โอลิมปิก 2016 ณ ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล

โอลิมปิก 2016 ถูกจัดขึ้นที่ ริโอ เดอ จาเนโร เมืองหลวงของบราซิล ซึ่งแน่นอนว่าพลพรรค แซมบ้า ทีมชาติบราซิล ถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ของรายการ จากการที่พวกเขาเต็มไปด้วยแข้่งระดับซูเปอร์สตาร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เนย์มาร์ จูเนียร์ ,กาเบรียล บาร์โบซ่า ,กาเบรียล เชซุส ,มาร์ควินญอซ

โดยอยู่ภายใต้การคุมทีมของ คาร์ลอส ดุงก้า ซึ่งพวกเขาก็เกือบเอาตัวรอดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อเสมอกับ แอฟริกาใต้ กับ อิรัก ใน 2 เกมแรก ก่อนจะมาคืนฟอร์มได้ทันเวลาด้วยการถล่ม เดนมาร์ก 4-0 ผ่านเข้ารอบน็อคเอาต์ได้แบบใจหายใจคว่ำ

รอบน็อคเอ๊าต์ บราซิล คืนฟอร์มเก่งด้วยการต้อน โคลอมเบีย 2-0 ผ่านเข้ารอบตัดเชือกไปถล่ม ฮอนดูรัส 6-0 เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อ เนย์มาร์ กลายเป็นแข้งที่ยิงประตูได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล โอลิมปิก เมื่อเขาตีตาข่ายได้เพียง 14 วินาทีในเกมดังกล่าวด้วย ก่อนที่ เซเลเซา จะลิ่วไปชิงกับ เยอรมัน ซึ่งเกมในรอบชิงชนะเลิศ ทั้งสองทีมแลกกันแบบสุดมันส์ ก่อนเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 และเป็นทีมชาติบราซิล ที่คว้าเหรียญทองต่อหน้าแฟนบอลของตัวเองด้วยการดวลจุดโทษเอาชนะ เยอรมัน 5-4 และนับเป็นการคว้าเหรียญทอง โอลิมปิก ครั้งแรกของ บราซิล ด้วย

โอลิมปิก 2020 ณ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

การแข่งขันฟุตบอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 ถูกเลื่อนไปเป็นปี 2021 ไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดย บราซิล ภายใต้การคุมทีมของ ติเต้ ยังคงเป็นทีมเต็งในโอลิมปิก แบบฉบับซามูไร ณ แดนอาทิตย์อุทัย โดยในรอบแบ่งกลุ่ม ริชาร์ลิซอน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม พา แซมบ้า ชนะ เยอรมัน 4-2 เสมอ ไอวอรี่ โคสต์ 0-0 และ พิชิติ ซาอุดิอาระเบีย 2-1 ผ่านเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่ม เข้าไปพบกับ อียิปต์ ในรอบน็อคเอาต์ ก่อนเอาชนะไปได้ 1-0 ผ่านเข้าไปพิชิต เม็กซิโก ในช่วงของการดวลจุดโทษ พร้อมกับทะลุเข้าไปชิงเหรียญทองกับ สเปน

โดยในเกมรอบชิงชนะเลิศ บราซิล กับ สเปน กินกันไม่ลงเสมอกันในเวลา 90 นาที 1-1 ก่อนที่ช่วงต่อเวลาพิเศษจะเป็น มัลคอล์ม ที่ยิงประตูชัยในช่วงต่อเวลา พา บราซิล คว้าเหรียญทองมาครองเป็นสมัยที่ 2 พร้อมกับการคว้ารางวัลดาวซัลโวของ ริชาร์ลิซอน ที่ตะบันไป 5 ประตูในทัวร์นาเม้นต์กีฬา 5 ห่วงเมื่อ 4 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่การคว้าเหรียญทองของ บราซิล ในครั้งนั้น ไม่มีผู้ชมในสนาม อินเตอร์เนชั่นแนล โยโกฮาม่า สเตเดี้ยม เพราะกำลังอยู่ในช่วงหลังการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด19 นั่นเอง

สำหรับศึก โอลิมปิก 2024 ฟูจิตะ รับหน้าที่สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น แถมยังทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ในเกมเปิดสนามที่ถล่ม ปารากวัย 5-0 และชนะมาลี 1-0 โดยเกมส่งท้ายรอบแบ่งกลุ่ม ญี่ปุ่น จะเจอกับ อิสราเอล ในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้

ดูราคาต่อรอง โอลิมปิก 2024

ช่องทางการติดตาม