“ฉันเป็นเปเล่ !” ถ้อยคำประกาศของเด็กชายคนหนึ่งบนชายหาดโบตาโฟโก้ ก่อนเกมที่นักเตะตัวกะเปี๊ยกทั้งสองฝั่งต้องแก่งแย่งชิงกันเป็นนักเตะไอดอลของแต่ละคน
“ฉันเป็นริวัลโด้ !!” เด็กอีกคนตะโกนร้องบอก ตามมาด้วยเด็กในทีมอีกคนที่เลือกให้ตัวเองเป็น “ดุงก้า” กัปตันทีมชาติบราซิลชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1994
ระหว่างนั้นเกิดการโต้เถียงขึ้นอีกฝั่ง ด้วยการตัดสินใจไม่ได้ระหว่างกันว่าตกลงใครจะเป็น โรนัลโด้ และใครจะรับบท “การ์รินชา” แต่สำหรับเด็กน้อยคนนั้นที่กำลังเดินไปเฝ้าเสาประตูด้วยใบหน้าเหงาหงอยเพราะถูกมอบหมายจากคนในทีมให้รับบทเป็น “ดิด้า” ผู้รักษาประตูนั่นเอง
“ฉันคือ โรแบร์โต้ คาร์ลอส” น้องคนสุดท้องและอายุน้อยที่สุดบนหาดทรายวันนั้นป่าวประกาศ
ความจริงแล้ว น้องชายคนเล็กมักไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้เล่นฟุตบอลกับพี่ชายและเหล่าเพื่อนๆ ของพี่ชาย แต่นับตั้งแต่การเตะบอลบนชายหาดครั้งแรกวันนั้น เด็กน้อยได้รับการยืนยันว่าเขาจะได้ร่วมเล่นฟุตบอลกับบรรดาพี่ ๆ ทุกครั้ง นั่นเพราะความสามารถพิเศษบางอย่างที่ซุกซ่อนได้ถูกแสดงออกมา จนวันหนึ่งที่ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่าเด็กน้อย มาร์เซโล่ วิเอร่า ดา ซิลวา กับพรสวรรค์ในการเล่นฟุตบอลของเขา จะกลายเป็นนักเตะตำแหน่งแบ็คซ้ายระดับตำนานแห่งบราซิล
” เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นตัวแทนของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส!! ”
14 พฤศจิกายน 2006 รามอน กัลเดร่อน ประธานสโมสร เรอัล มาดริด ได้กล่าวต่อหน้าสาวก “ราชันชุดขาว” ทั้งหลายว่า หนุ่มน้อยวัย 17 ปี ที่ตนเองเพิ่งคว้าตัวมาจากสโมสรฟลูมิเนนเซ่ ในบราซิล คือการซื้อตัวเพื่อเข้ามาเป็นตัวตายตัวแทนของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส แบ็คซ้ายตีนโหดในตำนานที่ลงเล่นให้ เรอัล มาดริด มาแล้วกว่า 300 เกม กัลเดร่อน กล่าวเสริมว่า “คาร์ลอส จะอยู่กับเราอีกหนึ่งปี นั่นเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการ และเขาเองก็มีความสุข แต่เมื่อถึงเวลาที่ คาร์ลอส ต้องจากไป มาร์เซโล่ จะสวมทับตำแหน่งแทนเขาที่นี่”
สำหรับนักฟุตบอลส่วนใหญ่ วันหนึ่งหากได้ย้ายไปร่วมทีมอย่าง เรอัล มาดริด นั่นคือเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต แต่สำหรับ มาร์เซโล่ กับการโยกย้ายมายังเมืองหลวงของสเปนถือเป็นเรื่องตื่นเต้นอย่างสุดวิเศษอย่างยิ่ง เพราะเขาจะได้ใกล้ชิดกับชายคนหนึ่งที่ตนเองเฝ้าจดจำ ฝึกฝน เรียนรู้ และนับถือยกย่องมาตลอดขณะเติบโตอยู่ที่เมือง ริโอ เดอ จาเนโร
เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสเตะฟุตบอลกับเพื่อน ๆ บนถนน หรือชายหาด เขามักแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงภาพของนักเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 6 ของบราซิล ซึ่งเขาพยายามศึกษาวิธีการเล่นด้วยการนั่งดูเกมผ่านจอทีวีทุกครั้งที่ เรอัล มาดริด หรือทีมชาติบราซิล ลงแข่งขัน
ฤดูกาล 2006/07 ด้วยการที่ตำนานแบ็คซ้ายอย่าง โรแบร์โต้ คาร์ลอส ยังอยู่กับทีมอีกหนึ่งปีเป็นอย่างน้อย สิ่งที่ เรอัล มาดริด ตั้งใจต่อมาคือการส่ง มาร์เซโล่ ไปยังทีมสำรอง เพื่อต้องการให้นักเตะอายุยังน้อยคนนี้ได้ศึกษาระบบการเล่นฟุตบอลสไตล์สแปนิชในลีกรองของสเปน เรอัล มาดริด ในเวลานั้นคุมทัพโดย ฟาบิโอ คาเปลโล่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว มาร์เซโล่ เองก็ยังไม่สามารถสอดแทรกเข้ามามีชื่ออยู่ในทีมชุดแรกของกุนซือชาวอิตาเลียน
เขาจะถูกตัดชื่อออกจากทีมจนไร้โอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ แต่ในการฝึกซ้อม มาร์เซโล่ ยังคงฝึกซ้อมร่วมกับนักเตะซีเนียร์ของ มาดริด อย่างใกล้ชิด การต้องคอยประกบนักเตะตัวรุกจากทีมชุดใหญ่ นั่นเองที่ทำให้เขารู้สึกว่า แม้จะไม่ได้โอกาสลงเล่นมากนักในระยะแรก แต่ตนเองก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งมากมายในปีแรกกับวันเวลาที่ต้องห่างไกลบ้าน
“เขามีส่วนผสมของความเป็นคนขี้อายกับความมั่นใจในตัวเอง”
มัสสิโม่ เนรี่ หนึ่งในทีมงานผู้ฝึกสอนด้านกายภาพของ คาเปลโล่ จดจำช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการนั้นของ มาร์เซโล่ ได้ดี“เขารวดเร็ว มีเทคนิคดี และเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม ผมจำได้ว่า เขาสุภาพและให้เกียรติผู้อื่นเสมอ เขาพูดน้อยมากแต่จะตั้งใจรับฟังอย่างมากในเดือนแรก ๆ ที่มาถึงมาดริด”
เวลาต่อมา ผลจากการปะทะกันระหว่างฝึกซ้อม ช่วยเร่งให้โอกาสลงสนามของหนุ่มน้อยจากบราซิลเร็วขึ้น เมื่อปีกขวารูปหล่อชาวอังกฤษอัดหนักใส่ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ในการซ้อมสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ส่งผลให้แบ็คซ้ายเท้าหนักชาวบราซิลต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ
แต่ คาเปลโล่ ยังรู้สึกไม่มั่นใจที่จะส่งเด็กหนุ่มอย่าง มาร์เซโล่ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ดังนั้นกุนซือจอมเฮี้ยบจึงขยับ เซร์คิโอ รามอส ออกมาเล่นเป็นแบ็คซ้ายแทน เพื่อรอช่วงเวลาสามสิบนาทีสุดท้ายสำหรับการปลดปล่อยแบ็คซ้ายหนุ่มน้อยจากบราซิลกับการประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ เรอัล มาดริด เป็นเกมแรก มาร์เซโล่ ได้ออกสตาร์ทจากม้านั่งสำรองอีกสองเกม ก่อนที่ คาร์ลอส จะกลับมาในช่วงต้นเดือนมีนาคม ในเกมกับ เกตาเฟ่
และในนาทีที่หลายคนไม่อาจล่วงรู้อนาคต แต่เหล่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เคยร่วมเตะฟุตบอลที่บราซิลอาจรับรู้ถึงความรู้สึกที่อัดแน่นเอ่อท้นอยู่ในใจ มาร์เซโล่ ในนาทีที่ 88 ของเกม เมื่อกุนซือ คาเปลโล่ ส่งเขาลงเล่นแทน กอนซาโล่ อิกัวอิน แม้เวลาของเกมจะเหลืออีกไม่มาก แต่มันก็คือนาทีประวัติศาสตร์ที่เราจะได้รับรู้ในเวลาต่อมาว่า นักเตะตำแหน่งแบ็คซ้ายระดับตำนานของโลกฟุตบอลชาวบราซิลสองคนได้มีโอกาสบรรเลงเพลงแข้งแซมบ้าร่วมกันที่ริมเส้นฝั่งซ้ายให้ “ราชันชุดขาว”
มาร์เซโล่ ได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่อีกสองเกมก่อนที่ เรอัล มาดริด จะคว้าตำแหน่งแชมป์ลา ลีกา สเปน แต่เขาก็ไม่เคยได้ลงสนามเคียงข้างฮีโร่ในดวงใจของเขาอีกเลย เพราะหลังเกมสุดท้ายที่ มาดริด เอาชนะ เรอัล มายอร์ก้า 3-1 นั่นก็หมายถึงฉากอำลาของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส กับสโมสรที่เขารับใช้มากว่า 370 เกม
แม้กระทั่งในเกมทีมชาติก็ดูเป็นการสวนทางกัน เพราะแบ็คซ้ายดีกรีแชมป์โลก ปี 1998 อย่าง คาร์ลอส ได้ประกาศอำลาทีมชาติในปี 2006 เพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ มาร์เซโล่ จะได้ประเดิมเกมทีมชาตินัดแรกของตัวเองในเกมระหว่าง บราซิล กับ เวลส์ ในเดือนกันบายน ปีเดียวกัน กลับมาที่ เรอัล มาดริด เมื่อ กาเบรียล ไฮน์เซ่ และ รอยส์ตัน เดรนเธ่ ถูกซื้อตัวเข้ามาเสริมเพื่อทำหน้าที่ตรงตำแหน่งแบ็คซ้ายให้กับโค้ชคนใหม่อย่าง แบรนด์ ชูสเตอร์ ในช่วงเดือนแรกของฤดูกาล 2007/08
แต่ตำแหน่งนี้ผู้ที่ถูกเลือกเป็นเบอร์หนึ่งคือ มาร์เซโล่ ในการทำหน้าที่หลังการจากไปของ คาร์ลอส ที่ว่ากันว่าอาจไม่มีใครสามารถเข้ามาทดแทนเขาได้ ถึงแม้มันจะเป็นความท้าทายที่น่าหวั่นใจ แต่สำหรับอดีตเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจากริมฝั่งชายหาดโบตาโฟโก้ สิ่งนี้คือความฝันของเขาอย่างแท้จริง แม้ โรแบร์โต้ คาร์ลอส จะมีส่วนสูงเพียงห้าฟุตหกนิ้ว แต่ร่มเงาและรัศมีของเขาดูจะแผ่ปกคลุมไปทั่วความยาวของสนาม ซานติอาโก้ เบอนาเบว แม้ในวันที่เขาเดินทางไปอยู่ที่ เฟร์เนบาเช่ ในลีกตุรกีแล้วก็ตาม
ความแรงของการยิงลูกบอลและความรวดเร็วราวจรวดของ คาร์ลอส ยังทาบทับแนวทางการเล่นของ มาร์เซโล่ ทางริมเส้นฝั่งซ้าย และทุกอย่างดูค่อย ๆ กดทับลงบนหัวไหล่ของเด็กหนุ่มที่ต้องแบกรับภาพชินตาของแฟนบอลจนเริ่มกลายเป็นเสียงโห่ ส่งผลให้เกิดความเครียดในทางจิตวิทยาแก่แบ็คซ้ายคนใหม่ มาร์เซโล่ ไม่เพียงแต่ต้องทำหน้าที่แทนแบ็คซ้ายคนเก่า แต่นั่นหมายถึงเขาต้องทำหน้าที่แทนนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในทุก ๆ เกมที่ลงสนาม
คาร์ลอส ช่วยทีมคว้าแชมป์ ลา ลีกา 4 ครั้ง แชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก 3 สมัย โคปา อเมริกา 2 ครั้ง รวมถึงการช่วยบราซิลเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 อีกทั้งยังเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนักเตะบัลลงดอร์ ก่อนที่ผลโหวตผู้ชนะจะตกเป็นของ โรนัลโด้(โล้นทองคำ) การวิ่งตะลุยขึ้นหน้า ลูกเปิดเข้าเขตโทษคู่แข่งที่แม่นยำและดุดัน การวิ่งลงมารักษาวินัยในเกมรับ ส่งให้ คาร์ลอส คือแบ็คซ้ายที่สมบูรณ์แบบ เมื่อบวกกับลูกฟรีคิกที่มีความเร็ว 100 ไมล์ ต่อชั่วโมง ด้วยต้นขาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 24 นิ้ว ทำให้ลูกบอลที่พุ่งมาจากมุมธง และบางครั้งจากการเปิดแบบผ่ากลางเข้ามาสร้างความหวดผวาแก่กองหลังและผู้รักษาประตูคู่แข่งเสมอ
“โรแบร์โต้ คาร์ลอส สามารถครอบคลุมพื้นพื้นฝั่งซ้ายทั้งหมดด้วยตัวเขาเองเพียงคนเดียว” วิเซนเต้ เดล บอสเก้ ชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงอ้างอิงจากรายงานที่ว่านักเตะชาวบราซิลร่างตันคนนี้สามารถวิ่ง 100 เมตร ด้วยความเร็ว 10.6 วินาที ซึ่งความเร็วระดับนี้ดีพอสำหรับลุ้นเหรียญในการลงแข่งขันวิ่ง 100 เมตร ในกีฬาโอลิมปิก ปี 2016 ความโหดของ คาร์ลอส ทั้งหมดนี้เอง มันคล้ายมรดกที่ มาร์เซโล่ เองไม่อาจเต็มใจรับนัก แบ็คซ้ายหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงความไม่พอใจจากแฟนบอลในช่วงระยะแรก มันทำให้เขารู้สึกรำคาญและแสดงออกมาผ่ายสีหน้า เมื่อเหล่าแฟนบอลไม่เชื่อว่าเขาสามารถเติมเต็มส่วนที่หายไผในตำแหน่งนี้ได้
แต่กำลังใจที่เขาได้รับจาก คาร์ลอส ไอดอลของเขา รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ ซึ่งยืนยันว่า มาร์เซโล่ กำลังอยู่ในทิศทางการเล่นที่ถูกต้องแล้ว มันไม่มีความลับใด ๆ นอกจากการมุมานะทำงานหนัก ไม่นานนัก มาร์เซโล่ ก็เริ่มสลัดภาพในหัวแฟนบอลและเริ่มสร้างที่ทางตำแหน่งของตนเองขึ้นมากด้วยการเอาชนะใจทั้งโค้ชและแฟนบอล การลงเล่นเป็นตัวจริง 11 เกม จาก 16 นัดท้าย และจบฤดูกาลด้วยการที่ เรอัล มาดริด สามารถป้องกันตำแหน่งแชมป์ ลา ลีกา ไว้ได้อีกปี
ข้อผิดพลาดของ มาร์เซโล่ ในระยะแรกคือการหลุดตำแหน่งบ่อยครั้ง เขามักวิ่งเข้าไปตามลูกบอลเสมอ นั่นทำให้การรักษาตำแหน่งของตนเองบกพร่อง แต่การได้รับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมทีมอย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ กาเบรียล ไฮน์เซ่ ก็ทำให้เขากลับมารักษาตำแหน่ง แต่ก็ยังมีความพยายามจะบุกเบิกในสไตล์การเล่นอิสระของตนเอง มาร์เซโล่ ยังคงฝึกฝนหนัก แต่การเปลี่ยนแปลงหลังการมาถึงของกุนซือ ฆวนเด้ รามอส ในฤดูกาล 2008/09 ที่มองว่า มาร์เซโล่ น่าจะมีประโยชน์มากกว่าหากเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย เขาถูกดันขึ้นเป็นเล่นเกมรุกเพื่อคอยสร้างโอกาสให้ทีม และนั่นเองที่นำไปสู่ประตูแรกที่ยิงให้กับสโมสร
“แรก ๆ ผมรู้สึกประหลาดนิดหน่อยกับตำแหน่งปีกซ้าย แต่ผมก็เริ่มค่อย ๆ รักมัน เพราะว่าผมมักจะมองไปยังข้างหน้าเพื่อคอยสร้างสรรค์เกมอยู่เสมอ” ฤดูกาลถัดมา 2009/10 มานูเอล เปเยกรินี่ เข้ามารับตำแหน่งกุนซือคนใหม่ของ เรอัล มาดริด โค้ชใหม่กับสไตล์การเล่นเน้นเกมรุกเต็มสูบ มาร์เซโล่ ถูกสั่งให้ดันขึ้นไปเติมเกมมากขึ้น นั่งเองที่สถิติถูกยืนยันด้วยตัวเลขว่ามีเพียง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ กาก้า สองคนในทีมเท่านั้นที่ทำแอสซิสต์ได้มากกว่า มาร์เซโล่ ที่คอยรับหน้าที่ขับเคลื่อนเกมตรงริมเส้นฝั่งซ้าย
เรอัล มาดริด เปลี่ยนโค้ชฤดูกาลละหนึ่งคน เปเยกรินี่ พาทีมจบได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ ลา ลีกา เขาถูกปลด และคนที่มาแทนคือ โชเซ่ มูริญโญ่ การมาถึงของ “เดอะ สเปเชียล วัน” สั่นคลอนต่อความมั่นคงในตำแหน่งแบ็คซ้ายของ มาร์เซโล่ ทันที เมื่อ มูริญโญ่ ต้องการที่จะดึงตัว ฟาบิโอ โกเอนเตรา แบ็คซ้ายตัวเก่งชาวโปรตุเกสมาจาก เบนฟิก้า แม้การเจรจาจะไม่สำเร็จในช่วงซัมเมอร์แรกที่ มูริญโญ่ เข้ารับงาน แต่แล้วในปี 2011 โกเอนเตรา ก็เดินทางมาถึงถิ่น เบอนาเบว ด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร
สัญญาณจากภัยคุกคามกำลังเริ่มต้นกดดัน มาร์เซโล่ นักเตะที่ครั้งหนึ่งประธานสโมสรกำหนดไว้ว่าจะเป็นตัวแทนของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ตอนนี้เขากำลังถูกมองข้ามจากนายใหญ่คนใหม่ของทีม? แต่เป็นอีกครั้ง ไม่ว่า มาร์เซโล่ จะถูกท้าทายและต้องพิสูจน์ตัวเอง เขามักจะเป็นผู้ชนะอยู่เสมอ แม้ทีมจะเสริมตัวนักเตะใหม่ เช่น โกเอนเตรา, ราอูล บราโว, มิเกล ตอร์เรส, รอยสตัน เดรนเธ่ หรือ กาเบรียล ไฮน์เซ่ พวกเขาล้วนพ่ายแพ้ในการแย่งชิงตำแหน่งกับ มาร์เซโล่ ทั้งสิ้น
“ผมไม่แน่ใจในตอนแรก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกรักและประทับใจในตัวเขา” มูริญโญ่ กล่าวขึ้นภายหลังจากเขาได้รับมรดกก้อนใหญ่จากแบ็คซ้ายชาวบราซิล ซึ่งเป็นผู้เล่นที่เขาใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ระหว่างช่วงเวลาการคุมทีมอยู่ในสเปน 3 ปี ส่วน โกเอนเตรา เด็กจากบ้านเกิดของ มูริญโญ่ กลับถูกใช้งานมากเป็นอันดับที่ 15
ก่อนฤดูกาล 2015 มาร์เซโล่ ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นรองกัปตันทีม เรอัล มาดริด ในยุคของกุนซือ คาร์โล อันเชล็อตติ จากความกระตือรือร้น และความกระหายในการลงเล่นอย่างไม่หยุดยั้งของเขา ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
แม้สิ่งที่ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่สุดนั่นคือความสามารถในการควบคุมเกมทางริมเส้นฝั่งซ้าย ทั้งการโจมตีและการป้องกัน ชื่อของ มาร์เซโล่ เริ่มเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และนักเตะอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือคนที่ได้รับผลประโยชน์จากการขึ้นเกมโดยเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
บทบาทของ มาร์เซโล่ ช่วยให้ โรนัลโด้ ไม่ต้องคอยพะวงกับการลงมาช่วยป้องกันในเกมรับ อีกทั้งแบ็คซ้ายชาวบราซิลยังสามารถเติมเกมสูงเพื่อให้ โรนัลโด้ หุบเข้าไปในกรอบเขตโทษคู่แข่งเพื่อหาจังหวะยิงประตู การประสานงานร่วมกันของทั้งคู่อาจกล่าวได้ว่า แม้ มาร์เซโล่ ไม่สามารถเดินตาม โรแบร์โต้ คาร์ลอส ไปดอลของเขาขึ้นสู่โพเดียมเสนอชื่อเป็นนักเตะบัลลงดอร์ แต่เขาก็มีบาบาทสำคัญในการผลักดันเพื่อนร่วมทีมชาวโปรตุเกสของเขาให้คว้ารางวัลตำแหน่งนี้มาครองสำเร็จ
มาร์เซโล่ ช่วย เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ลา ลีกา 4 ครั้ง โกปา เดลเรย์ 2 ครั้ง และ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก 4 สมัย ความสำเร็จด้วยเกียรติยศมากมายที่ในตอนท้ายสุดเขามักจะถูกยกไปเปรียบเทียบกับ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ไอดอลของเขา จากเด็กที่ร้องบอก พี่ ๆ ในเกมฟุตบอลริมชายหาดเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับ “ผมเป็น โรแบร์โต้ คาร์ลอส” จนวันหนึ่ง คำพูดที่ดูเพ้อฝันในตอนนั้นกลับกลายเป็นความจริงที่ส่งให้เด็กชายเหยียบยืนบนแผ้วทางของฮีโร่ของเขาได้ทิ้วรอยไว้
“เขาคือฟูลแบ็คที่ดีที่สุดในโลก และมีความสามารถรวมถึงคุณภาพมากกว่าที่ผมคิดไว้” โรแบร์โต้ คาร์ลอส กล่าวถึงอดีตเด็กน้อยที่อยากเป็นเขา
“มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะเหนือกว่า โรแบร์โต้ คาร์ลอส เพราะเขาคือนักเตะที่เก่งที่สุด” เขายังยืนยัน
สำหรับแฟนบอลนั้นคงยากเหลือเกินที่จะบอกว่าใครเหนือกว่าใคร นอกจากความรู้สึกชื่นชมเมื่อได้เห็น เด็กชายคนหนึ่งได้เดินตามรอยฝันของเขากับการเป็นเช่นนักเตะในดวงใจ แล้วก็ลงมือทำสิ่งนั้นให้เป็นจริงอย่างน่ายกย่อง จนสามารถเขียนประวัติศาสตร์ด้วยชื่อของตนเอง มาร์เซโล่ วิเอร่า ดา ซิลวา