หากจะเอ่ยถึงประเทศโปรตุเกสในโลกของฟุตบอล หลายคนน่าจะนึกถึงแหล่งบ่มเพาะแข้งจอมเทคนิคมากมายจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งนักเตะชาวโปรตุกีสที่กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการลูกหนังตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวงการฟุตบอลแดนฝอยทอง
โปรตุเกส แหล่งผลิตปีกชั้นดี ก่อนจะมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้
โปรตุเกส ถือเป็นดินแดนที่ผลิตผู้เล่นชั้นนำมาประดับวงการมากมาย โดยเฉพาะผู้เล่นในตำแหน่งตัวรุก หรือ ตำแหน่งริมเส้น ซึ่งก่อนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะครองโลก ย้อนกลับไปยุคก่อนหน้านั้น ก็ถือว่ามีอีกหนึ่งผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลและประสบความสำเร็จมากมายไม่ต่างจาก CR7 แถมยังเคยคว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองเมื่อปี 2000 ถึงตอนนี้หลายคนน่าจะพอเดาออกกันแล้วว่านักเตะที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้ก็คือ หลุยส์ ฟิโก้ อดีตจอมทัพทีมชาติโปรตุเกส ที่เคนสร้างปรากฏการณ์มากมายเอาไว้ในสนามฟุตบอล
หลุยส์ ฟิโก้ เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 1972 และเริ่มต้นจากการเป็นนักฟุตบอลข้างถนน ก่อนจะได้เข้าร่วมอะคาเดมี่ของสโมสร สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่ออายุได้ 12 ปี หลังจากนั้น ฟิโก้ ก็เริ่มฉายแววกลายเป็นดาวเด่นของทีม และถูกดันขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อปี 1989 ด้วยวัยเพียง 17 ปี เท่านั้น
จากการให้โอกาสของ บ็อบบี้ ร็อบสัน ที่เข้ามารับงานคุมทัพ สิงโตลิสบอน อยู่ในเวลานัน้ โดย ฟิโก้ เป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติโปรตุเกส U20 ชุดคว้าแชมป์โลก เมื่อปี 1989 ร่วมกับเพื่อนร่วม โกลเด้น เจเนอเรชั่น อย่าง เฟอร์นานโด คูโต้ ,มานูเอล รุย คอสต้า, เจา ปินโต้ และ เปาโล ซูซ่า ก่อนจะถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อปี 1991
สำหรับจุดเด่นของ หลุยส์ ฟิโก้ แม้ว่าเจ้าตัวอาจไม่ได้ความไวประหนึ่งนักวิ่งลมกรด ที่สิ่งที่มาทดแทนความเร็วของ ฟิโก้ ก็คือเทคนิคอันแพรวพราว มีสเต็ปเท้าที่สวยงามที่พร้อมจะหลอกล่อเลี้ยงบลอหลบคู่แข่ง นอกจาก ฟิโก้ ยังมีวิสัยทัศน์ที่ยอมเยี่ยม อันเป็นที่มาของการจ่ายบอลอย่างชาญฉลาดและเฉียบคม แถมยังมีการตัดสินในการจบสกอร์ที่เฉียบขาดและเหนือจินตนาการคนหนึ่งของวงการลูกหนังแดนฝอยทองเลยทีเดียว
กัลโช่สั่งแบน หันหัวสู่ บาร์เซโลน่า ในศึกลา ลีกา สเปน
ฟิโก้ ลงสนามแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยในฤดูกาล 1991-92 โดยเจ้าตัวไดัรับโอกาสลงสนามไปถึง 38 เกมและยิงไป 1 ประตูรวมทุกรายการ หลังจากนั้น ฟิโก้ ก็สถานปนาตัวเองเป็นตัวหลักของ ลิสบอน ไปอีก 3 ฤดูกาล รวมแล้วดาวเตะหน้าหยกรับใช้ ลิสบอน ไปทั้งสิ้น 158 เกมยิงไป 23 ประตู คว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย 1 สมัย พร้อมคว้ารางวัลมาประดับบารมีมากมายไม่ว่าจะเป็น ผู้เล่นทรงคุณค่าจากรายการ ยูฟ่า U21 แชมเปี้ยนสชิพ
และรางวัลลูกบอลทองคำของโปรตุเกส รวมไปถึงรางวัลผู้เล่นแห่งปีของ ลิสบอน ซึ่งทั้งหมดได้รับในปี 1994 จนกระทั่งปี 1995 ฟิโก้ ก็ประกาศศักดาด้วยการคว้ารางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของโปรตุเกสได้เป็นหนแรกในชีวิต ในขณะที่มีวัยเพียง 23 ปีเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีก โปรตุเกส ดูเหมือนจะเล็กเกินไปแล้วสำหรับ หลุยส์ ฟิโก้ อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตการค้าแข้งของ ฟิโก้ เกิดขึ้นในปี 1995 เมื่อเจ้าตัวได้รับความสนใจจากบรรดาสโมสรชั้นนำในยุโรปมากมาย ซึ่ง ฟิโก้
และเอเย่นต์ดันไปเซ็นสัญญาซ้ำซ้อนกันกับทั้ง ยูเวนตุส และ ปาร์ม่า ทำให้ ฟิโก้ ถูกสั่งลงโทษห้ามค้าแข้งในอิตาลี เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งทำให้ บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งเวทีลา ลีกา สบโอกาสในการดึงปีกรายนี้มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 2.25 ล้านปอนด์ โดยซีซั่นแรกกับ บาร์เซโลน่า ที่มี โยฮัน ครัฟฟ์ คุมทีม ฟิโก้ ประสานงานกับแนวรุกระดับพระกาฬทั้ง จอร์จี้ ฮาจี้ ,โรเบิร์ต โปรซิเนซสกี้ อิบัน เด ลา เปญา ,เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ อัลเบิร์ต เฟร์เร พร้อมจากรึกสถิติการลงสนาม 52 เกมตะบันไป 8
แท็คทีม โรนัลโด้ ,กวาร์ดิโอลล่า ,สตอยคอฟ สร้างปรากฏการณ์ในถิ่น คัมป์นู
ฤดูกาล 1996-97 ฟิโก้ ได้เล่นเคียงบ่าเคียงไหล่กับ โรนัลโด้ ,ฮริสโต้ สตอยคอฟ ,โรล็อง บล็องก์ ,เอ็มมานูเอล อมูนิเก้ นอกจากนี้ บาร์ซ่า ยังดึง 2 เพื่อนร่วมชาติของ ฟิโก้ อย่าง เฟร์นานโด คูโต้ รวมทั้ง วิคเตอร์ บาย่า มาร่วมทีมด้วย ซึ่งในซีซั่นนั้น ฟิโก้ ก็ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมลงสนามไป 50 นัดยิงไป 8 ประตูรวมทุกรายการ เป็นส่วนสำคัญในการพา เจ้าบุญทุ่ม คว้าถึง 3 แชมป์ ทั้ง โกปา เดล เรย์ ,ซูเปอร์โคปา เด เอสปันญา
และรายการใหญ่อย่าง คัพ วินเนอร์สคัพ จนกลายเป็นนักเตะขวัญใจแฟนบอลและกัปตันทีมของ บาร์เซโลน่า ในเวลาต่อมา หลังจากนั้น ฟิโก้ ก็สามารถคว้าแชมป์ลา ลีกา กับ บาร์ซ่า ได้ถึง 2 สมัยติดต่อกัน โดยเจ้าตัวอยู่รับใช้ เจ้าบุญทุ่ม เป็นเวลา 5 ฤดูกาลจารึกลงสนามไว้ทั้งสิ้น 249 นัดยิง 45 ประตูรวมทุกรายการ
จนกระทั่งปี 2000 ชื่อของ ฟิโก้ ก็กลายกระอันร้อนแรงในโลกลูกหนัง โดยเฉพาะในประเทศสเปน เมื่อ เรอัล มาดริด จ่ายเงินถึง 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อคว้าตัว ฟิโก้ ไปร่วมทีม และนั่นทำให้เขาเป็นนักเตะที่โด่งดังที่สุดเท่าที่เคยมีการโยกย้ายระหว่าง บารซ่า กับ มาดริด นอกจากนี้มันยังส่งผลให้เกิดความเกลียดชังอย่างบ้าคลั่งจากแฟนบอลของ บาร์ซ่า ที่มีต่อตัว ฟิโก้ ด้วย จากอดีตปีกขวัญใจอันดับหนึ่ง ฟิโก้ กลับกลายเป็นคนที่แฟนบอลในถิ่น คัมป์นู เกลียดชังมากที่สุดและถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและเห็นแก่เงิน
NETFLIX ตีแผ่เหตุการณ์หัวหมูในตำนานที่แฟน บาร์ซ่า ปาใส่ ฟิโก้
หนึ่งในภาพเหตุการณ์ที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกก็คือในระหว่างเกม ยูโร 2004 รอบชิงชนะเลิศที่ ฟิโก้ ลงเล่นให้โปรตุเกส พบกับ กรีซ แฟนบอลคนหนึ่งได้วิ่งลงมาในสนามตรงมาหา ฟิโก้ และขว้างผ้าผืนหนึ่งมาที่ตัวเขา ผ้าผืนดังกล่าวก็คือธงเชียร์ของ บาร์เซโลน่า นั่นเอง เท่านั้นยังไม่พอหากยังจำกันได้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2002 เป็นเกมที่สองที่ ฟิโก้ กลับมายัง บาร์เซโลน่า หลังจากย้ายไปร่วมคู่ปรับตลอดกาล บรรยากาศที่แฟนบอล บาร์ซ่า สร้าง เสียงเชียร์ โดยเป้าหมายพุ่งไปที่อดีตฟิโก้ แม้กระทั่งตอนโฆษกประกาศรายชื่อ หลุยส์ ฟิโก้ ยังมีการเว้นช่วงนานผิดปกติ เพื่อให้แฟนบอลได้ส่งเสียงโห่และด่าทอแข้งโปรตุกีสรายนี้
เริ่มเกมแฟนบอลส่งเสียงโห่ร้องตลอดเวลา โดยเฉพาะที่จังหวะที่ ฟิโก้ เดินไปยังมุมธงเพื่อเตะมุม สิ่งของที่ถูกโยนมาทั้งไฟแช็ค, เหรียญ, ขวดน้ำพลาสติก จนกระทั่งมีมือดีรายหนึ่งโยน หัวหมู ลงมาในสนาม ท่ามกลางความตกตะลึง เพราะการแสดงออกในลักษณะนี้ มีการตีความว่า เพราะ ฟิโก้ เป็นเหมือนหมู เขาหลอกลวง และทำให้หัวใจแฟนบอลแหลกสลาย ในทางหนึ่งมันคือการแสดงความเกลียดชัง แต่ในอีกด้านสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็แสดงให้เห็นว่าแฟนบอล บาร์ซ่า รัก หลุยส์ ฟิโก้ ขนาดไหน
เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่สุดของวงการฟุตบอล ณ เวลานั้น จนถึงขนาดที่ว่า Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งภาพยนตร์ชื่อดัง ได้ผลิตสารคดีเรื่อง EL Caso Figo (The Figo Affair) ซึ่งเป็นเรื่องราวการย้ายทีมแบบสุดอื้อฉาวที่ประวัติศาสตร์วงการลูกหนังต้องจารึกของ หลุยส์ ฟิโก้ ซึ่งพล็อตเรื่องของ EL Caso Figo จะเล่าเรื่องเบื้องหลังการย้ายทีมของ ฟิโก้ ที่เป็นการย้ายข้ามฟากระหว่าง 2 บาร์ซ่า ไปอยู่กับ มาดริด เมื่อปี 2000
นอกจากนี้ในหนังสารคดียังได้นำเสนอคำสัมภาษณ์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็น ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร เรอัล มาดริด รวมถึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งเคยเป็นนักเตะของ บาร์ซ่า ในฐานะเพื่อนร่วมทีมเดียวกับ ฟิโก้ ด้วย
ตัดสินใจไม่ผิดเป็นสมาชิก กาลาคติกอส
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การย้ายทีมของเขาจะเต็มไปด้วยเรื่องราวอื้อฉาวที่ตามมามากมาย แต่ ฟิโก้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่านั่นคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง เมื่อเขาร่วมคว้าแชมป์ได้กับ ราชันชุดขาว มากมาย ทั้งลา ลีกา 2 สมัย ซูเปอร์ โกปา เดล เอสปันญา อีก 2 สมัย นอกจากนี้ ฟิโก้ ยังได้สัมผัสโทรฟี่ บิ๊กเอียร์ อย่างศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2001-02 สมใจอยาก หลังจากที่รอคอยมานาน นอกจากนี้ ฟิโก้ ยังมีช่วงปีที่ดีที่สุดเมื่อคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมยุโรป และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า มาครองในปี 2000 และ 2001 ตามลำดับ ฟิโก้ เล่นอยู่กับ เรอัล มาดริด ด้วย
ฟิโก้ เล่นได้ทั้งตำแหน่งปีกและจอมทัพ เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีลีลาการเลี้ยงบอลสวยงาม และอาจเป็นผู้เล่นประเภทที่ไม่เน้นพลังงานและความเร็ว แต่ทดแทนด้วยเทคนิคการครองบอล การออกบอล เรียกได้ว่าเป็นทั้งปีก มิดฟิลด์ซ้ายขวาและเพลย์เมคเกอร์ไปในตัว
โดยเจ้าตัวเป็นนักเตะเพียงไม่กี่คนที่ลงเล่นให้กับทั้ง 2 สโมสรคู่ปรับของลีกเมืองกระทิง โดยตลอดการลงเล่นให้ทั้งสองทีมคว้าแชมป์ ลา ลีกา 4 สมัย, โคปา เดล เรย์ 2 สมัย, ซูเปอร์โกปา 3 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพ และ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ อย่างละ 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ อีก 2 สมัย
ไว้ลายช่วงท้ายคว้าแชมป์รัวๆกับ งูใหญ่ อินเตอร์ มิลาน
ปี 2005 ฟิโก้ ย้ายไปเล่นกับ อินเตอร์ มิลาน ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แบบไร้ค่าตัว ซึ่งแม้ว่าอายุอานามของปีกจอมพริ้วรายนี้จะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับประสบการณ์และความเจนจัดในสนามของ ฟิโก้ ก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยประสบการณ์และความสามารถของ ฟิโก้ ช่วยให้ทัพ งูใหญ่ คว้า สคูเด็ตโต้ ได้ถึง 4 สมัย นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์ โคปา อิตาเลีย 1 สมัย และ ซูเปอร์โคปา อิตาเลียน่า 1 สมัย พร้อมบันทึกสถิติการค้าแข้งในถิ่น จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า ไว้ที่ 140 นัดยิงไป 11 ประตูรวมทุกรายการนับตั้งแต่ 2005 ถึงปี 2009 ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 2009 ด้วยวัย 37 ปี
สำหรับผลงานของ หลุยส์ ฟิโก้ ในสีเสื้อทีมชาติโปรตุเกส เจ้าตัวถูกเรียกตัวติดทีมชาติครั้งแรกในปี 1991 เคยพาทีมคว้ารองแชมป์ ยูโร 2004 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 รวมสถิติลงเล่นให้ โปรตุเกส ไปทั้งสิ้น127 นัด ยิง 32 ประตู กับอีก 46 แอสซิสต์
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค