หากจะพูดถึงรายการฟุตบอลบนโลกใบนี้ เชื่อว่าหลัก ๆ ที่เราติดตามกันก็คงจะหนีไม่พ้นอย่าง 5 ลีกหลักในยุโรปอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, บุนเดสลีกา เยอรมัน, กัลโช เซเรียอา อิตาลี, ลาลีกา สเปน และ ลีกเอิง ฝรั่งเศส
ซึ่งเราคงขอไม่พูดว่า ลีกไหนเป็นลีกที่ดีที่สุด สนุกที่สุด เพราะนั่นขึ้นอยู่กับความนิยมชมชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคล โดยวันนี้เราขอพูดถึงการไล่ล่าแชมป์ของลีกผู้ดี พรีเมียร์ลีก กันซะหน่อย…
เพราะว่าในทุก ๆ ปีเรามักจะได้เห็นว่าแต่ละทีมในลีกนี้ มีการขับเขี้ยวกันอย่างสนุกสนาน และปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้พวกเขาได้ขึ้นเถลิงบัลลังก์รับถ้วยแชมป์นี้
เราได้สรุปไว้แล้วคร่าว ๆ ลองอ่านกันได้เลย แต่ถ้าหากเพื่อน ๆ คิดว่ายังมีปัจจัยข้ออื่น ๆ ที่เราอาจจะคาดไม่ถึง ก็คอมเม้นต์ไว้ได้เลยน้า แล้วก็อย่าลืมบอกเราด้วยล่ะว่า พรีเมียร์ลีก ปีนี้ใครจะเป็นแชมป์ ???
คุณสมบัติที่ 1 – “นักเตะ”
“นักเตะ” คือปัจจัยหลัก และสำคัญที่สุดก็ว่าได้ และมันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะพวกเขาคือผู้เล่น คือคนทำเกม คือคนที่ใช้พลังงานตลอด 90 นาที
-
แนวรุกต้องคม
เกมรุกก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพาให้เป็นแชมป์อย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน ยิ่งถ้าทีมมียอดดาวยิงอยู่ในทีม อันนี้ยิ่งได้เปรียบ และจะยิ่งได้เปรียบไปอีกถ้าแนวรุกของทีมมีความหลากหลาย พร้อมสลับกันทำประตู
แนวรุก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฤดูกาล 2017/18 เป็นทีมที่พากันไล่ถล่มประตูคู่แข่งอย่างหมดทางสู้ ซึ่งฤดูกาลนั้นยิงถล่มทลายจบฤดูกาลด้วยสถิติใหม่ของ พรีเมียร์ลีก ที่ 106 ประตู พร้อมกับ 100 แต้ม จาก 114 แต้มเต็ม
โดยฤดูกาลนั้น เซอร์คิโอ อเกวโร่ นำทีมถล่มประตู กุน ยิงไป 21 ประตู, ราฮีม สเตอร์ลิง 18 ประตู กาเบรียล เฆซุส 13 ประตู และ เลอรอย ซาเน่ 10 ประตู
ปัจจุบันแนวรุกชุดดังกล่าว ยังคงผนึกกำลังกันเหนียวแน่นในฤดูกาลนี้และยังคงพากันยิงถล่มทลายเช่นเคย โดยตอนนี้พวกเขาเป็นทีมที่ทำประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก
หรือจะเป็น ฤดูกาล 2015/16 เจมี่ วาร์ดี้ และ ริยาด มาห์เรซ สองคู่หูโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมพากันยิงกระจาย ส่งให้ เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ในปีนั้นไปครองอย่างเซอร์ไพร์ส แม้ปีนั้น เจมี่ วาร์ดี้ จะพลาดตำแหน่งดาวซัลโว แต่ก็ยิงไปถึง 24 ประตู ตามหลัง แฮร์รี่ เคน ดาวซัลโวในปีนี้นั้นเพียงแค่ 1 ประตู ส่วน ริยาด มาห์เรซ ตะบันไป 17 ประตู กับอีก 11 แอสซิตส์ พร้อมคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม PFA ไปครองอีกด้วย
-
เกมรับต้องดี
ขอย้อนกลับไปในยุค ไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซนอล ทีมชุดไร้พ่าย (Invincible) ฤดูกาล 2003/04 เกมรับทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ชุดนั้นแข็งปึ๊กจริง ๆ มีจุดดีอยู่ตรงนักเตะชุดนั้นมีพวกบ้าพลังเยอะ ไม่ดูติ๋มเหมือน อาร์เซนอล ยุคหลัง ๆ แถมหลายคนเป็นพวก Match Winner ด้วย ถึงมันจะเสี่ยงทำให้ทีมเสียใบเหลืองแดงเยอะ แต่มันก็ช่วยทีมระดมพลังได้ดี จำได้ว่าช่วงนั้น เยนส์ เลห์มันส์ ถูกวิจารณ์ว่าเหวอ แต่เกมรับของทีมยังแน่นเหนียวถึงขนาดที่ว่าไม่เคยเสียประตูมากกว่าทีมคู่แข่ง เพราะเกมรับของทีมดีมาก ๆ
ด้วยฟอร์มการเล่นที่สมดุล ลงตัวแบบสุด ๆ ทำให้พวกเขาเดินพรมแดงตลอดทั้งฤดูกาล ก้าวขึ้นบันใดแบบซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก เอื้อมมือไปหยิบ โทรฟี่สีทอง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่จนถึงทุกวันนี้ ใคร ๆ ก็ไม่อาจเอื้อมได้
อาร์เซนอล จบฤดูกาลนั้นด้วยสถิติ ลงเล่น 38 เกม ชนะ 26 เสมอ 12 แพ้ 0 ยิงไป 73 ประตู เสีย 26 ประตู มีผลต่าง 47 ประตู จบฤดูกาลด้วย 90 คะแนน
ซึ่ง 26 ประตูที่พวกเขาเสียให้กับคู่แข่ง ถือเป็นสถิติที่ดีที่สุดใน พรีเมียร์ลีก และยังไม่มีใครสามารถทำลายได้เลย โดยมีแค่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ แมนฯ ซิตี้ ที่คว้าแชมป์และเสียไป 27 ประตูในฤดูกาล 2017/18
-
ความสม่ำเสมอต้องมี
พูดถึงเรื่องความสม่ำเสมอในเรื่องของโลกฟุตบอล อันนี้ก็อาจจะยากหน่อยเพราะอย่างว่า ฟุตบอลลูกกลม ๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ วันดีคืนดีแข้งคนสำคัญกำลังฟอร์มดีแต่ดันมาเจ็บยาวอีกอันนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าต้องเจอจริง ๆ
หรืออยู่ดี ๆ นักเตะต่างพากันฟอร์มออกทะเลแบบกู่ไม่กลับหาสาเหตุไม่ได้ จากที่ลุ้นแชมป์อยู่ดี ๆ ก็หลุดวงโคจรไปแบบง่าย ๆ ซะงั้น โดยสิ่งที่ทีมจะเป็นแชมป์ จะต้องทำให้ได้เลยก็คือ การล้มแล้วลุกอย่างรวดเร็ว
เพราะว่าหากมัวแต่เมาหมัดนาน ๆ รับรองว่าอาจโดนแซงหรือหมดสิทธิ์คว้าถ้วยแน่นอน ตัวอย่างเคยเกิดขึ้นให้เราเห็นแล้วเมื่อปี 1995/96 ที่ นิวคาสเซิล นำโด่งเป็นจ่าฝูงและทิ้งแต้มห่างอันดับสองอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 12 คะแนน แต่…
ใครล่ะจะเชื่อว่าพวกเขากลับถูก ปีศาจแดง ที่นำทัพโดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แซงเป็นแชมป์หน้าตาเฉย ซึ่งต้องบอกว่าเหตุที่ ทัพสาลิกาดง สะดุดแบบกลับมาไม่ได้เลยนั่นก็คือการที่ เควิน คีแกน โดนจิตวิทยาของป๋าไซโคจนไม่เป็นอันทำงานทำการ และพาทีมเป๋จนเสียแชมป์แบบไม่น่าเชื่อ
นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องของการรักษาฟอร์มการเล่นของทีมให้เก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง นั่นก็ส่งผลให้ได้ลุ้นแชมป์ด้วยเช่นกัน อย่างที่ แมนฯ ซิตี้ ของ เป็ป กวาร์ดิโอลา ทำได้ในฤดูกาล 2017/18 โดยเป็นการเก็บชัยได้ถึง 18 เกมติดต่อกัน (26 ส.ค – 27 ธ.ค 2017) เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการชนะมากที่สุด 32 เกมและมีคะแนนมากที่สุดที่ 100 คะแนนด้วย
-
ขุมกำลังต้องพอ
ในโลกฟุตบอลปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เรื่องขุมกำลังนักเตะที่ต้องโปรไฟล์ดีพร้อมยกระดับทีม เพราะการเสริมทัพนักเตะน่าจะเป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ ในโลกฟุตบอลไปแล้ว ทีมไหนที่มีเงินถุงเงินถังหน่อย ก็จะมีภาษีได้ลายเซ็นนักเตะที่ต้องการไปร่วมทัพ
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดีนะ….
จริงอยู่ที่การเสริมทัพเป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ แต่ถ้าการเสริมทัพนั้นไม่ถูกจุดก็เละเทะได้เหมือนกัน ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย
ขุมกำลังของทีมที่จะลุ้นแชมป์ ต้องติ๊กถูกทุกตำแหน่ง ไร้จุดบกพร่อง ต้องไร้จุดบกพร่องจริง ๆ เพราะปัจจุบันทุกทีมใน พรีเมียร์ลีก พร้อมปล้นชัยชนะทุกเมื่อ และที่สำคัญต้องเพียงพอพร้อมโรเตชั่นใช้งาน
ยิ่งถ้าเป็นทีมที่ได้โควต้าลุยศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือรายการใหญ่ ๆ แล้วล่ะก็ ยิ่งจำเป็นต้องมีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันได้ในทุกตำแหน่ง จะได้ทุ่นแรงนักเตะเอาไว้ใช้งานในเกมระยะยาวและนัดต่อ ๆ ไป
การทดแทนกันได้ในที่นี้ ไม่ใช่แค่ทดแทนลงไปยืนเล่น ๆ นะครับ แต่ต้องพึ่งพาได้ไว้ใจได้ด้วย ตัวสำรองอาจไม่ต้องถึงขนาดเกรด A ยกแผลง ขอเกรด B+ พร้อมทดแทนหรือเปลี่ยนลงไปแก้เกมได้ก็พอแล้ว
คุณสมบัติที่ 2 – “ผู้จัดการทีม”
ถัดจากผู้เล่น หรือ นักเตะแล้ว คนที่มีผลต่อการแพ้/ชนะของทีม คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก หัวสมองของทีม “ผู้จัดการทีม”
-
กุนซือมือต้องถึง
ผู้จัดการทีมเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการทำทีมเอามาก ๆ ซึ่งนั่นยังรวมถึงบรรดาทีมงาน สต๊าฟฟ์ต่าง ๆ ด้วย เพราะหากทั้งหมดนี้ไม่สนับสนุนซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ก็ยากเหลือเกินที่จะทำงานด้วยกันได้
แน่นอนว่างานหลักของกุนซือก็คงเป็นเรื่องของการจัดทัพผู้เล่น วางแผน ระบบต่าง ๆ ให้กับลูกทีม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นงานง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้ แต่เราต้องไม่ลืมด้วยว่า ณ พรีเมียร์ลีก ทุกทีมพร้อมที่จะคว้าชัยชนะเหนือทีมคุณได้ทุกเมื่อ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเองก็ต้องทำได้ดีด้วย
หรือเป็นเรื่องของแนวทางการทำทีม คิดง่าย ๆ ก็คือจากทีมที่อาจจะเคยเล่นสไตล์บุก จู่ ๆ วันนึงแฟนบอลเห็นพวกเขาเล่นเกมรับมากเกินไป ก็อาจสร้างความไม่พอใจทั้งต่อแฟนบอลและบอร์ดบริหารได้
ซึ่งรายละเอียดสำหรับงานการเป็นผู้จัดการทีมต้องบอกว่าเยอะเอามาก ๆ ซึ่งเราคงได้ยินได้ฟังมาจากข่าวทั่วไปบ้างแล้ว ดังนั้นคงไม่มีใครบอกว่า แค่คุณมีทีมที่ดี แล้วจะเอาใครมาคุมทีมให้ได้แชมป์นั้น คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน…
-
เกมตบเด็กต้องไม่พลาด
นี่คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทีมที่ต้องการจะเป็นแชมป์ต้องไม่พลาดเด็ดขาด เพราะถ้าคิดเล่น ๆ ว่าถ้าคุณแพ้ให้กับทีมท็อป 5 ของลีกทั้งหมด 10 เกม (เหย้า-เยือน) แต่คุณสามารถเอาชนะทีมที่เหลืออีก 14 ทีมได้แบบไปและกลับทั้งหมด 28 เกม ทีมของคุณก็จะมีแต้มถึง 84 คะแนนเลยทีเดียว
ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาจจะเพียงพอในการเป็นแชมป์ก็ได้ เพราะเมื่อฤดูกาล 1996/97 แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็เป็นแชมป์ด้วยคะแนนรวมเพียง 75 คะแนนเท่านั้น ซึ่งเป็นสถิติการเป็นแชมป์ที่ได้คะแนนน้อยที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ด้วย
อย่างไรก็ตามแต่ คงไม่มีใครบ้าจี้คิดว่าจะเอาชนะเฉพาะทีมเล็ก ๆ ทุกทีมได้แน่นอน เพราะฟุตบอลกีฬาลูกกลม ๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ และแจ็คฆ่ายักษ์ก็มีให้เห็นบ่อย ๆ ในโลกของฟุตบอล
แต่สิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็คือ ถ้าคุณต้องการทะยานเข้าใกล้แชมป์ “การตบเด็ก” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือหนทางสู่แชมป์ และยิ่งหากสามารถจัดการกับบรรดาทีมหัวแถวได้ด้วยละก็ แชมป์คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่…
คุณสมบัติที่ 3 – “สปิริตทีม”
เรื่องสปิริตข้อนี้ส่วนตัวแล้วคิดว่าสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเลย เพราะถ้าทีมมีความสัมพันธ์ที่ดีเชื่อว่าถ้าวันใดที่ทีมพากัน เล่นเป๋หลุดฟอร์มไป ความสัมพันธ์ที่ดี สปิริตที่ยอดเยี่ยมนี่แหล่ะจะพาทีมกลับมาได้ไว และอาจจะช่วยกันหนุนรุ่นน้องก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมในยามที่รุ่นพี่บาดเจ็บได้อีก
หลายคนคงเคยอ่านมาบ้าง เกี่ยวกับบทความเรื่องบรรยากาศในห้องแต่งตัวไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนลงสนาม ช่วงพักครึ่งหรือช่วงจบเกมการแข่งขัน จริง ๆ มีหลาย วลีเด็ดมากที่รู้สึกประทับใจ ถ้าจะให้เล่าก็ไม่รู้จะเลือกอันไหนมาจริง ๆ
ตัวอย่างบรรยากาศห้องแต่งตัวที่ไร้สปิริตฤดูกาลนี้มีให้เห็นเด่นชัด ใช่แล้วครับ เรากำลังพูดถึง โชเซ่ มูรินโญ ตามรายงานข่าวจากหลายสำนักมักระบุแนวเดียวกันว่า มีกลุ่มนักเตะที่ไม่พอใจการกระทำของ กุนซือ เดอะ สเปเชียลวัน และไม่ต้องการร่วมงานกับเขาอีก ถึงขนาดอยากให้นายใหญ่ปีศาจแดงโดนไล่ออก
ซึ่ง โชเซ มูรินโญ มักจะออกมาให้สัมภาษณ์ตำหนินักเตะและเหล่าสตาร์ในทีมที่โชว์ฟอร์มได้ไม่เอาอ่าวอยู่บ่อยครั้ง ในซีซันนี้ ซึ่งชัดเจนว่าได้สร้างความระส่ำระสายในสโมสรอย่างต่อเนื่อง
นั่นทำให้เป็นที่มาของข่าวลือที่ว่า ภายในห้องแต่งตัวของทีมปีศาจแดง มีนักเตะจำนวนหนึ่งไม่พอใจการกระทำเช่นนี้ และอยากเห็นนายใหญ่ชาวโปรตุกีสถูกไล่ออก
มาถึงตอนนี้คงเห็นชัดแล้วนะครับว่าสปิริต ความสัมพันธ์ในสโมสรไม่ว่าจะกับใคร และบรรยากาศภายในห้องแต่งตัวสำคัญขนาดไหน (ออกปุ๊บ ฟอร์มเปลี่ยนปั๊บ)
-
ข้อแถม – ดวงเฮง
จริง ๆ เหตุการณ์ เฮง ๆ นี่มีเกิดขึ้นเกือบทุกปีนะ หรือจะเป็นฤดูกาล 2013/14 ลิเวอร์พูล ก็พลาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบน่าเสียดายจากการลื่นล้มของ สตีเว่น เจอร์ราด ก่อนจะถูก เดมบ้า บา แย่งบอลหลุดเข้าไปยิงแบบดื้อ ๆ ทำให้พลาดเก็บ 3 คะแนนสำคัญ
ส่งให้ แมนฯซิตี้ ปาดหน้าเค้กไปแค่ 2 คะแนน ซึ่งปัจจุบันยังถูกแฟนบอลบางทีมนำมาล้อเลียนให้แฟน ๆ เดอะ ค็อป ได้เจ็บแปลบกันอยู่ประจำ
หรือจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มี โรแบร์โต้ มันชินี กุมบังเหียนในฤดูกาล 2011/12 โดยเรื่องราวดราม่าเกิดขึ้น เมื่อ ปีศาจแดง สะดุดแพ้ให้กับ วีแกน แบบช็อค ๆ และยังทำได้แค่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ทั้งที่สกอร์นำ 4-2
เลยทำให้ เรือใบสีฟ้า กลับมามีโอกาสคว้าแชมป์อีกครั้ง และเมื่อถึงคราวศึกดาร์บี้ของ เมืองแมนเชสเตอร์ มาถึง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ไม่พลาดที่จะเก็บชัยเหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
จนสุดท้ายแล้วเป็น เมืองแมนเชสเตอร์สีฟ้า ที่สามารถคว้าแชมป์ไปครองได้แบบเฉียดฉิว โดยการได้ประตูชัยจากดาวยิงอาเจนไตน์ที่ซัดให้ทีมในช่วงท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ
เอาจริง ๆ แล้วข้อนี้ก็ไม่เกี่ยวกับดวง 100% แต่กลับเป็นเรื่องของหัวจิตหัวใจความเป็นนักสู้ของแต่ละทีมต่างหาก ว่าจะยอมพ่ายแพ้หรือไม่ ในยามโดนคู่แค่ออกนำไปก่อน…
ทายผลแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้ที่นี่