ฟรานซิสโก โรชา พ่อของเขา ออกเดินทางจากหมู่เกาะเคปเวิร์ด ด้วยเรือโดยสารลำหนึ่งจนมาถึงท่าเทียบเรือเมืองเฮลซิงบอร์ก ประเทศสวีเดน ต่อมาไม่นาน ฟรานซิสโก ได้พบรักกับหญิงสาวชาวสวีเดนคนหนึ่งนามว่า อีวา ลาร์สสัน และ อีวา ได้กลายมาเป็นภรรยาของเขาในเวลาต่อมา โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส
อีวา ให้กำเนิดลูกชาย และตั้งชื่อว่า เฮนริก และเลี้ยงดูมาจนอายุได้ 12 ปี ฟรานซิสโก และ อีวา ก็ได้ตัดสินใจแยกทางกัน ลูกชายเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของแม่ นั่นคือ ‘ลาร์สสัน’ เพราะหล่อนคิดว่าลูกชายจะได้รับการยอมรับจากสังคมในสวีเดนได้ง่ายขึ้น
แต่ชีวิตในวัยเด็กของลูกเธอก็ไม่ง่ายนัก เมื่อเด็กน้อยต้องพบกับประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำจากเพื่อนที่โรงเรียนด้วยคำพูดเหยียดสีผิว“ในฐานะเด็กที่มีเชื้อชาติอื่นผสมจากจำนวนเด็กไม่กี่คนในเมือง ทำให้ผมต้องเจอประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำในวัยเด็ก เพื่อนที่โรงเรียนใน เฮลซิงบอร์ก มักพูดจาเหยียดผิวสีดำของผมเสมอ”
“แต่ผมไม่ต้องการทำแบบเดียวกับสิ่งที่พวกเขาทำกับผม บางครั้งผมมักคิดว่าทางออกเดียวของปัญหานี้นั่นคือการเริ่มต้นต่อสู้ และผมต้องทำ จนสุดท้ายผมมาพบจุดเปลี่ยนที่จะแก้ไขปัญหานี้ นั่นคือการทุ่มสมาธิให้กับการเล่นฟุตบอล เพราะตอนนั้นผมเชื่อว่า หากผมเล่นฟุตบอลได้ดี ผู้คนจะเลิกพูดกันว่าผมมีรากเหง้ามาจากไหน”
เด็กชายยอมรับว่า พ่อคือผู้ปลูกฝังให้เขารักการเล่นฟุตบอล หลังกลับจากโรงเรียน เขามักออกไปเตะฟุตบอลกับพ่อและเพื่อนแถวบ้านที่สนามหลังบ้าน จนในวันที่พ่อต้องแยกทางจากแม่ สิ่งที่พ่อทิ้งไว้คือ ม้วนวิดีโอบันทึกการแข่งขันฟุตบอลลีก อังกฤษ กับภาพยนตร์ อัตชีวประวัติ ‘ราชันลูกหนัง’ เปเล่ เขาเปิดดูมันแทบทุกวันหลังกลับจากโรงเรียนก่อนจะออกไปเล่นฟุตบอล
ลูกชายสานต่อความฝันที่พ่อได้ทิ้งไว้ แต่หนทางการเป็นนักฟุตบอลของเขา คำว่าพรสวรรค์นั้นถูกแทนที่ด้วยการทำงานหนัก
เฮนริก ลาร์สสัน เริ่มเล่นฟุตบอลในลีกระดับล่างกับสโมสรโฮกาบอร์ก ในสวีเดน จนอายุ 17 ก็ได้ขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ ในขณะที่ยังต้องเรียนหนังสือไปด้วย
ในปีถัดมา เขาออกจากโรงเรียน จากนั้นเดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรเบนฟิก้า ในโปรตุเกส ขณะนั้นผู้จัดการทีมเบนฟิก้าคือ สเวน โกรัน อีริคสัน กุนซือชาวสวีเดน ผลลัพธ์ต่อมาคือ การหอบเอาความผิดหวังกลับมายังบ้านเกิดสวีเดน และก้มหน้าเล่นฟุตบอลกึ่งอาชีพที่ โฮกาบอร์ก ต่อไป พร้อมกับการทำงานเป็นคนเก็บผักผลไม้หารายได้เลี้ยงชีพ
จากเด็กน้อยที่เริ่มเติบโตเป็นหนุ่มมาถึงจุดพลิกผันหลังผ่านสี่ฤดูกาลกับโฮกาบอร์ก เมื่อ แม็ทส์ แม็กนุสสัน ศูนย์หน้าชาวสวีเดนที่เพิ่งย้ายจาก เบนฟิก้า กลับมายังลีกบ้านเกิดและเล่นให้กับต้นสังกัด เฮลซิงบอร์ก จดจำเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยไปคัดตัวกับทีม เบนฟิก้า เมื่อหลายปีก่อนได้ดี
แม็กนุสสัน ไม่ลังเลที่จะเข้าไปแนะผู้จัดการทีม เฮลซิงบอร์ก ทันทีว่า เด็กหนุ่มคนนี้มีแวว และอาจถึงขั้นกลายเป็นดาวรุ่งตัวความหวังของทีมชาติสวีเดนในอนาคต มันเป็นช่วงฤดูกาลที่สามกับทีมโฮกาบอร์ก ซึ่ง ลาร์สสัน ยิง 15 ประตู จาก 22 เกม ด้วยวัยเพียง 20 ปี ฝีเท้าที่เริ่มฉายแสงในเวลานั้น ทำให้สโมสรเฮลซิงบอร์ก คว้าตัวเขาเข้าร่วมทีม
ในฤดูกาลแรกกับ เฮลซิงบอร์ก คล้ายกับการเริ่มค้นพบแนวทางการล่าตาข่าย ลาร์สสัน ยิงให้ทีมถึง 34 ประตู จาก 31 เกม และยิงต่อเนื่องในฤดูกาลถัดมาอีก 16 ประตู จาก 25 เกม นั่นทำให้ลีกฟุตบอลในสวีเดนบ้านเกิดดูจะเล็กเกินไปสำหรับเขาแล้ว เวลาต่อมาสโมสร เฟเยนูร์ด คว้าตัว ลาร์สสัน มาร่วมทีมในปี 1993 และกองหน้าชาวสวีเดนลงเล่นให้ทีม 149 เกม จาก 4 ฤดูกาล ยิงได้ 42 ประตู เขาคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย KNVB กับเฟเยนูร์ด ได้สองครั้งในฤดูกาล 1993-94 และ 1994-95 ก่อนจะโยกย้ายมาเล่นให้ เซลติก ในปี 1997 ด้วยราคา 650,000 ปอนด์
การมาถึง เซลติก เขาเริ่มสลักชื่อตนเองให้จารึกเป็นตำนานของสโมสร ด้วยผลงานการยิงประตูระดับสะบั้นหั่นแหลก 242 ประตู จาก 313 เกม คว้าแชมป์ฟุตบอลลีก สก็อตติช 4 สมัย แชมป์ฟุตบอลถ้วย 2 ครั้ง อีกทั้งยังพา เซลติก โลดแล่นในฟุตบอลชิงถ้วยยุโรปอย่างโดดเด่นในเวลานั้น
โดยในฤดูกาล 2002-03 ลาร์สสัน ช่วยพาทีมไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอล ยูฟ่า คัพ ก่อนจะพ่ายให้แก่ ปอร์โต้ 3-2 รวมทั้งในฤดูกาลถัดมา ที่เซลติก จัดการคว่ำ บาร์เซโลน่า ที่เต็มไปด้วยแข้งซุปเปอร์สตาร์อย่าง เหยินน้อย โรนัลดินโญ่, ชาบี และ ซาวิโอล่า ในรอบ 16 ทีม ฟุตบอลถ้วยฟุตบอลยูฟ่า คัพ
หลังจากฝากรอยแผลไว้อย่างแสบทรวง ต่อมา บาร์เซโลน่า ก็ได้ต้อนรับ ลาร์สสัน เข้าทีมทั้งที่อายุตอนนั้นของนักเตะเข้าวัย 33 ปีแล้วก็ตาม ปีแรกที่สเปน ลาร์สสัน มักลงสนามในฐานะตัวสำรอง สลับกับอาการบาดเจ็บที่คอยรบกวน ทำให้เขายงประตูให้ทีมได้ทั้งหมด 4 ประตู โดย 1 ในนั้นคือการยิงประตูทีมเก่าอย่าง เซลติก ในฟุตบอลถ้วยแชมป์เปี้ยน ลีก
ในเกมดังกล่าว เขาลงมาแทน โรนัลดินโญ่ ในนาที 62 และช่วยยิงประตูให้ทีมนำเป็น 3-1 ในนาที 82 จังหวะนั้นเต็มไปด้วยไหวพริบในการอ่านใจกองหลังและการโฉบตัดบอลก่อนถึงมือผู้รักษาประตู มันคือสกิลของผู้เล่นที่เต็มไปด้วยสัญชาตญาณแห่งกองหน้าขนานแท้ ลาร์สสัน กล่าวหลังจบเกมว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะเฉลิมฉลองกับชัยชนะในสถานที่ที่ตนเองนั้นเคยมีความทรงจำที่ดีมากมาย
ลาร์สสัน คือกองหน้าเทคนิคดี สปีดจัดจ้านในช่วงพีคสมัยเล่นให้ เซลติค นอกเหนือจากนั้นเขายังคอยอ่านแนวทางการเล่นของกองหลัง เก่งในลูกฉกฉวยจังหวะสอดวิ่งเข้าไปทำประตู และจุดเด่นที่สำคัญคือการเป็นนักเตะที่มีวินัยในการทำงานยอดเยี่ยมตลอดชีวิตค้าแข้งของเขา
ในฤดูกาล 2004-05 บาร์เซโลน่า ก็ประกาศศักดากวาดสามแชมป์มาครอง ทั้งลาลีกา, ซูเปอร์กา และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดย ลาร์สสัน ลงเล่นให้ทีมทั้งหมด 42 เกม ยิง 15 ประตู โดยช่วงเวลาดังกล่าว ลาร์สสัน ได้รับการยกย่องจากเหล่านักเตะระดับโลกที่บาร์เซโลน่า ทั้ง เธียร์รี่ อองรี และ โรนัลดินโญ่
อองรี กล่าวว่า ลาร์สสัน คือจุดเปลี่ยนในเกมนัดชิงถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก ในปีนั้น เมื่อเขาถูกส่งลงสนามในนาที 61 จากนั้น บาร์ซ่า ได้ 2 ประตู แซงชนะอาร์เซน่อล คว้าแชมป์สำเร็จ
หลังจบฤดูกาล 2004-05 บาร์เซโลน่า ต้องการต่อสัญญากับ ลาร์สสัน ออกไปอีก 1 ปี แต่นักเตะต้องการย้ายกลับไปเล่นที่สวีเดนบ้านเกิด
โรนัลดินโญ่ กล่าวถึงเขาในเวลานั้นว่า การย้ายออกไปของ ลาร์สสัน คือการสูญเสียกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และเขาเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งที่ เหยินน้อย เคยร่วมงาน ลาร์สสัน กลับไปเล่นกับ เฮลซิงบอร์ก ในสวีเดน ระหว่างพักเบรกกลางฤดูกาล สโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ติดต่อยืมตัวเขาเข้ามาเสริมทัพในแนวรุกของทีม
ลาร์สสัน มีเวลาแค่ 3 เดือน กับ ปีศาจแดง แต่ผลงานที่ทำไว้ให้ทีมนั้นมีค่าพอที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องการให้เขาอยู่กับทีมต่อไปจนจบฤดูกาล แต่สุดท้าย ลาร์สสัน ไม่ต้องการผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับครอบครัวและสโมสรเฮลซิงบอร์ก
จบฤดูกาลนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสำเร็จ แม้ ลาร์สสัน ไม่ได้อยู่กับทีมในวันแห่งความสำเร็จ แต่ไม่มีใครที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะหลงลืมว่าเขาคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จในฤดูกาลนั้น
เฮนริก ลาร์สสัน คือนักฟุตบอลผู้เป็นตำนานกับทุกทีมที่เขาลงเล่น ผู้คนที่รู้จักเขาต่างให้การยอมรับ ฝีเท้าที่เป็นเลิศกับตำแหน่งที่เขาได้รับ มีวินัยในการทำงานตลอดชีวิตการค้าแข้ง เฮนริก ลาร์สสัน คือนักฟุตบอลที่ใช้ผลงานในสนามส่งเสียงเข้าไปยังความรู้สึกแฟนบอลที่ต่อให้เวลาผ่านไปนานเท่าไร เราจะยังคงจดจำเขาได้เสมอ