เรียกได้ว่าเข้าอีหรอบเดิมจนได้สำหรับผลงานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ล่าสุดแพ้คาบ้านต่อ ไบร์ทตัน 1-3 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และเป็นอีกหนึ่งเกมที่พวกเขาเก็บคลีนชีตไม่สำเร็จ โดยเกมสุดท้ายที่ แมนฯ ยูไนเต็ด รักษาคลีนชีตได้ในศึก พรีเมียร์ลีก ต้องย้อนกลับไปในเกมที่ แมนยู ยำใหญ่ เอฟเวอร์ตัน 4-0 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม และนับจากนั้นมาจนถึงเกมล่าสุด ไม่มีนัดไหนเลยที่ทีมของ อโมริม ไม่เสียประตู

โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รีสอร์ท แอนด์ สปา

นอกจากนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังแพ้คาบ้านในเกมลีกนัดที่ 6 จาก 12 เกมที่เล่นใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดรองจากฤดูกาล 1893-94 ที่พวกเขาแพ้คารัง 7 นัดจากเกมเหย้า 12 นัดแรก เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อมาประเมินผลงานของ รูเบน อโมริม หลังจากที่เข้ามาคุมทัพ ปีศาจแดง นับเป็นเกมที่ 12 ติดต่อกันทุกรายการที่ทีมของ อโมริม ไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเกมรับของพวกเขามีปัญหา นับตั้งแต่เปลี่ยนมาเล่นในระบบกองหลัง 3 ตัว

อโมริม พาทีมแพ้คาบ้านไปถึง 4 เกมจาก 5 เกมหลังสุด โดยพวกเขาชนะแค่เกมเดียว แถม แมนฯ ยังเสียประตูก่อนในเกมลีกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ตลอด 5 นัดหลังสุดด้วย โดยก่อนที่ รูเบน อโมริม เข้ามาคุม แมนยู แมนเชสเตอร์ 14 นัดก่อนหน้านั้น มีผลงาน ชนะ 5 เสมอ 7 แพ้ 2 นัด ทว่าหลังจากที่นายใหญ่รายนี้เข้ามากุมบังเหียน 15 นัดที่ผ่านมา มีผลงาน ชนะ 5 เสมอ 3 แพ้ 7 นัด

อโมริม ชี้ทีมชุดนี้ห่วยสุดในประวัติศาสตร์

หลังจบเกม รูเบน อโมริม ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยการ ยอมรับความจริงว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดปัจจุบันอาจเป็นทีมที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรในรอบ 131 ปี

“จาก 10 เกมที่ผ่านมาในพรีเมียร์ลีก เราชนะได้ 2 เกม ลองนึกดูว่านี่จะมีความหมายเพียงใดสำหรับแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลองนึกดูว่านี่จะมีความหมายเพียงใดสำหรับผม เรากำลังได้ได้โค้ชคนใหม่ที่ผลงานแย่กว่าโค้ชคนเก่า ลองคิดดู เราต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ผมรู้ดี”

“เราเป็นทีมที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ที่ผมพูดแบบนั้นเพราะเราต้องยอมรับและเปลี่ยนแปลงมัน ผมรู้ว่ามันยากที่จะเสนอแผนการเล่นและแนวคิดใหม่ทั้งหมดในช่วงเวลานั้น แต่เมื่อคุณแพ้ มันก็กลายเป็นเรื่องยาก ผมจะยังคงทำแบบเดิมต่อไป จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

ลูกทีมอวดดี แข้งผีเล่นตามอำเภอใจ

ขณะเดียวกัน นอกจากผลการแข่งขันที่ทำให้ อโมริม ไม่พอใจแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่เขาโกรธมากๆ ก็คือการที่ ดีโอโก้ ดาโลต์ กับ นูสแซร์ มาซราวี สลับตำแหน่งกันทั้งๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาต แถมยังมีการสลับระหว่าง อาหมัด ดิยัลโล่ และ อันโตนี่ ที่ถูกส่งลงเล่นในช่วงท้ายเกมด้วย

“คุณสามารถรู้สึกได้เลยในช่วงท้ายเกม ทุกๆ คนเปลี่ยนตำแหน่งกันเอง และนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเห็นอีกครั้ง เราสามารถแพ้ได้ แต่เราต้องรักษาตำแหน่งของเราให้ดีที่สุด”

ส่วนอีกหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อฟอร์มโดยรวมของทีม ก็คือความผิดพลาดของ อ็องเดร โอนาน่า ผู้รักษาประตูที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่มีเทคนิคและการใช้เท้าดีที่สุด แต่ในฤดูกาลนี้ สถิติของเขาเริ่มสะท้อนถึงปัญหาหลายอย่าง

โอนาน่า สามวันดี สี่วันไข้

โอนาน่า มีอัตราการพลาดที่ส่งผลเสียต่อทีมโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมใหญ่ ที่เขามักจะมีปัญหาในการรับมือกับลูกยิงระยะไกลและลูกครอส โดย โอนาน่า มักถูกวิจารณ์เรื่องการตัดสินใจที่ล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นการออกมาตัดบอลหรือการเล่นบอลกับเท้าในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง

หลังจากเกิดความผิดพลาดบ่อยครั้ง ฟอร์มของ โอนาน่า ดูเหมือนจะเจ้าตัวได้รับผลกระทบทางจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจของแนวรับ การให้โอกาส โอนาน่า ฟื้นฟูความมั่นใจผ่านการฝึกซ้อมที่เน้นสถานการณ์จริง และการสนับสนุนทางจิตใจจากทีมงาน จะช่วยลดความผิดพลาดในอนาคต โดย อโมริม ยังกล่าวหนุนหลังนายด่านรายนี้ แม้ว่าจะพลาดรับบอลหลุดจนทำให้ทีมเสียประตูที่ 2 ว่า

“ความผิดพลาดของ โอนาน่า มันคือความผิดพลาดในทีม เขามีฟอร์มทั้งขึ้นและลง บางครั้งมันก็ดีมาก บางครั้งก็ย่ำแย่”

ระบบหลัง 3 เปลี่ยนทั้งที แต่ยังไม่มีวิงแบ็ค

รูเบน อโมริม สร้างชื่อจากการเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมรุ่นใหม่ ด้วยสไตล์การคุมทีมที่เน้นการครองบอล การเคลื่อนที่ที่ไหลลื่น และความยืดหยุ่นในเกมรุก เขามักใช้ระบบ 3-4-3 หรือ 3-5-2 เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเกมรุกและเกมรับ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสจากด้านข้างและความเร็วในการเปลี่ยนจังหวะเกม

แต่บางครั้งแผนการเล่นของเขาก็เสี่ยงต่อความผิดพลาดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทีมที่มีแท็กติกสวนกลับเร็วและการกดดันสูงและเล่นโต้กลับเร็ว เช่น ไบรท์ตัน นอกจากนี้ การขาดการสื่อสารในแนวรับ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสียประตู

ความพ่ายแพ้ต่อ ไบรท์ตัน แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนบางประการในการวางแผนและการตอบสนองต่อสถานการณ์ในเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับมือกับเพรสซิ่งสูงของทัพ นางนวล โดยระบบของ อโมริม ต้องเป็นผู้เล่นที่เข้าใจเกมในเชิงแทคติกอย่างลึกซึ้ง ต้องรู้จักการหาพื้นที่ในแนวกว้างเพื่อช่วยขยายแนวการโจมตี

ต้องสามารถวิ่งกลับมาตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องใช้พลังงานและความเร็วสูง ผู้เล่นในปัจจุบันของ แมนยู ดูเหมือนยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับบทบาทนี้ได้ดีพอ ทั้งในแง่ของฟิตเนสและการตัดสินใจในจังหวะสำคัญ

วิงแบ็คที่มี หาดีไม่ได้

อีกหนึ่งปัญหาเรื่องวิงแบ็คของ แมนยู ในยุคนี้คือความไม่สมดุลของวิงแบ็คทั้ง 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเน้นเกมรับมากเกินไป ขณะที่อีกฝั่งเติมเกมรุกแต่ขาดการป้องกัน แบ็คซ้ายตัวหลักอย่าง ลุค ชอว์ แม้จะเล่นบอลได้ดีในพื้นที่กว้างและมีทักษะการผ่านบอลที่ยอดเยี่ยม แต่บ่อยครั้งที่เขาไม่สามารถรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมลงเล่นได้ตลอดฤดูกาล ขณะที่ ดิโอโก้ ดาโลต์ มีศักยภาพในการเติมเกมรุก แต่ยังไม่เสถียรในเรื่องเกมรับ โดยเฉพาะในจังหวะดวลตัวต่อตัว

ส่วน นุสแซร์ มาซราอุย ก็น่าจะเป็นผู้เล่นในดังกล่าวที่ทำผลงานเสถียรมากที่สุดในเหล่าบรรดาวิงแบ็ค ส่วน ไทเรล มาลาเซีย ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่นักเตะที่ในสเป็คที่ อโมริม ต้องการ ดังนั้นการเสริมทัพในตำแหน่งวิงแบ็คที่เหมาะสมกับระบบ จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ใช่มากที่สุด ทีแมนฯ ยูอาจต้องมองหาผู้เล่นที่ครบเครื่องในตลาดซื้อขาย เช่น ผู้เล่นที่มีทั้งความเร็ว การเปิดบอลที่แม่นยำ และความเข้าใจในเกมรับ

หลังจากนี้ อโมริม อาจปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับทีมที่มีเพรสซิ่งสูง โดยเน้นการใช้มิดฟิลด์ตัวรับหรือวิงแบ็คที่มีความเร็วในการพาบอลหลบความกดดัน ซึ่ง อโมริม ควรปรับการตัดสินใจในสถานการณ์เกมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เช่น การเปลี่ยนตัวผู้เล่นที่สามารถสร้างความแตกต่างได้

แม้ รูเบน อโมริม จะเป็นโค้ชที่มีศักยภาพสูง แต่ความพ่ายแพ้ต่อ ไบรท์ตัน สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนในแท็กติกและการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด อย่างไรก็ตาม แมนยูในยุคของเขากลับต้องเผชิญปัญหาในตำแหน่งวิงแบ็ค ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพโดยรวมของทีม

ต้องหาใหม่ วิงแบ็คตามสไตล์ อโมริม

สรุปสุดท้ายตำแหน่งวิงแบ็คถือเป็นจุดสำคัญในระบบของรูเบน อาโมริม แต่ด้วยข้อจำกัดของผู้เล่นที่มีในปัจจุบัน แมน ยู จึงยังไม่สามารถดึงศักยภาพของระบบ 3-4-3 ออกมาได้อย่างเต็มที่ หากทีมสามารถแก้ไขจุดอ่อนในตำแหน่งนี้ได้ ก็จะช่วยยกระดับเกมการเล่น และทำให้ แมนยู สามารถแข่งขันในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

สำหรับ สถานการณ์ในอันดับตารางคะแนน ณ เวลานี้ ทัพ ปีศาจแดง เก็บได้ 11 แต้ม จากการลงสนาม 21 นัด รั้งอยู่อันดับที่ 13 ของตาราง ห่างจากโซนตกชั้น 10 แต้ม แต่ตามหลัง ฟูแล่ม อันดับ 10 อยู่ 7 แต้ม

โดยโปรแกรมแล้วต่อไปของ แมนยู จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เรนเจอร์ ในรายการ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก คืนวันที่ 23 มกราคม ก่อนจะกลับไปเล่นในเกมลีก ด้วยการบุกไปเยือน ฟูแล่ม ในคืนวันที่ 26 มกราคม คิกออฟ เวลา ตีสองตรง ตามเวลาประเทศไทย

สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ

เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค