กีฬาฟุตบอล

เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

3 6 67 - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ ฟุตบอลถ้วยสโมสรยุโรปที่ยิ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ฤดูกาลนี้ โทรฟี่่ บิ๊กเอียร์ ตกเป็นของพลพรรค ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด แห่งศึกลา ลีกา สเปน ที่เถลิงบัลลังก์แชมป์ด้วยการเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมัน 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศเมื่อคืนวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา

โดยเกมนี้สิ่งที่น่าสนใจในครึ่งแรกก็คือรูปเกมที่เกิดขึ้น เพราะเป็นทางฝั่ง เสือเหลือง ที่เน้นตั้งรับในแดนตัวเอง และแม้จะครองบอลน้อยกว่า แต่ลูกทีมของ เอดิน แตร์ซิช ก็ใช้จังหวะสวนกลับเล่นงาน มาดริด แถมยังมีโอกาสจบสกอร์มากกว่าจนทำให้ ธีโบต์ กูร์กตัวร์ นายด่านของ มาดริด ต้องโชว์การเซฟป้องกันประตูแบบหวุดหวิดหลายครั้ง

อันเชล็อตติ ปล่อยของ ความเก๋าสยบความสด ความนิ่งสยบการเคลื่อนไหว

image - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

อย่างไรก็ตามรูปเกมในครึ่งหลังมันสะท้อนให้เห็นแนวคิดและปรัชญาการคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่แก้เกมให้ลูกทีมตัวเองเล่นอย่างรัดกุมมากขึ้น ไม่บีบสูงมาก เพื่อลดการเสี่ยงที่จะเสียบอลกลางทาง

และค่อยๆ เล่นอย่างอดทน และเมื่อ ดอร์ทมุนด์ เล่นเกมสวนกลับเร็วไม่ได้ ความอันตรายก็ลดน้อยลงแตกต่างจากครึ่งแรกอย่างชัดเจน แถมยังพาทีมพลิกสถานการณ์ยิง 2 ประตู จนทำให้ ราชันชุดขาว ครองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นสมัยที่ 15 ณ สนามเวมบลีย์ พร้อมทั้งทำสถิติไร้พ่ายตลอดฤดูกาลในศึก บิ๊กเอียร์

ปีแรกที่ อันเช่ เข้ามาคุมทีม เรอัล มาดริด เจ้าตัวแต่งตั้ง พอล เคลเมนต์ และ ซีเนดีน ซีดาน เป็นผู้ช่วยโค้ช และคุมนักเตะชั้นนำของโลก ทั้ง คริสเตียโน โรนัลโด้, ซาบี อลอนโซ่, อิเกร์ กาซิยาส และ เซร์คิโอ รามอส ผนึกกำลังนักเตะใหม่อย่าง แกเร็ธ เบล, คาเซมิโร่ และ อิสโก้ ก่อนที่เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 10 ให้กับสโมสร และคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ ในฤดูกาลเดียวกันนี่คือนิยามการคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างความสงบในห้องแต่งตัว รวมไปถึงสร้างความสบายใจให้ทุกคนที่ร่วมงานด้วย

สู่กุนซือประวัติศาสตร์ คาร์โล อันเชล็อตติ

image 1 - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

สำหรับ อันเชล็อตติ วัย 64 ปี สร้างสถิติให้ตัวเขาเอง ด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ UCL มากถึง 5 สมัย กับ เอซี มิลาน 2003, 2007 และ เรอัล มาดริด 2014, 2022, 2024 นอกจากนั้นอันเชล็อตติยังเป็นกุนซือที่มีสถิติเก็บชัยชนะในรายการ UCL มากที่สุดด้วยจำนวน 115 เกม จากการพาทีมลงเล่น 202 นัด หลังจบเกม อันเชล็อตติ นายใหญ่ เรอัล มาดริด กล่าวถึงการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นสมัยที่ 5 ของตัวเองและเป็นสมัยที่ 3 กับ เรอัล มาดริด ว่า

“มันเหมือนฝัน แต่มันคือความจริง แน่นอนว่าผมมีความสุขมาก มันเป็นเกมที่ยากเหมือนเคย พวกเขาเล่นได้ดีกว่าในครึ่งแรก เราเล่นได้ดีกว่าในครึ่งหลัง แต่นัดชิงชนะเลิศเป็นแบบนี้ เราสามารถกำชัยได้ เรามีซีซั่นที่วิเศษ และเรามีความสุขที่ได้แชมป์ใบนี้อีกหน”

ต่อข้อถามถึงเคล็ดลับความสำเร็จในรายการนี้ กุนซืออิตาเลี่ยนเอ่ยว่า “มันเป็นประวัติศาสตร์และเป็นธรรมเนียมของสโมสร แน่นอนว่านักเตะของเรามีคุณภาพ สโมสรเป็นเหมือนครอบครัว เราทำงานร่วมกันโดยไร้ปัญหา และบรรยากาศในห้องแต่งตัวเป็นไปด้วยดี ผมอยากขอบคุณสโมสร และนักเตะที่ไม่มีอีโก้ และถ่อมตัว มันจึงไม่ยากที่จะจัดการกับทีมนี้ในซีซั่นนี้”

เรอัล มาดริด ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 18 ครั้ง ตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อว่า ยูโรเปี้ยน คัพ โดยพวกเขาพ่ายแพ้และพลาดการคว้าแชมป์เพียง 3 ครั้งเท่านั้น โดยหลังจากที่รายการดังกล่าวเปลี่ยนชื่อมาใช้ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เชื่อหรือไม่ว่า ราชันชุดขาว สามารถคว้าแชมป์ได้ทุกครั้ง หากผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ

นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวจากเหล่าบรรดาแฟนบอลแบบติดตลกว่า เมื่อ อันเชล็อตติ เริ่มยกหมากฝรั่งเทเข้าปาก เป็นอันรู้กันว่า เรอัล มาดริด ตอนนั้น เกมน่าจะเริ่มตึงๆ แล้ว และถ้าหาก อันเช่ เริ่มเหลือกตาไปมาเมื่อไหร่ รู้ไว้เลยว่าพายุเกมบุกของทัพ ราชันชุดขาว กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ

จู๊ด เบลลิงแฮม กับปรากฏการณ์ที่สร้างขึ้น

image 2 - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

จากความสำเร็จและสถิติการคุมทีมอันน่าทึ่งของ คาร์โล อันเชล็อตติ เรามาการที่สถิติที่สนใจทางฝั่งของนักเตะกันบ้าง แน่นอนว่าหนึ่งคนที่ถูกพูดถึงมากมายเหลือเกินกับฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงเกินห้ามใจ ส่งผลให้ จู๊ด เบลลิงแฮม สานฝันเป็นตัวเองให้เป็นจริง ด้วยการประกาศศักดาคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ในปีแรกที่ย้ายมาค้าแข้งในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว แถมยังเป็นการได้ชูถ้วยในบ้านเกิดตัวเอง ณ สนาม เวมบลีย์ ระเทศอังกฤษด้วย

ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้เล่นของ เรอัล มาดริด เพียง 4 คนเท่านั้น ที่ได้ชูถ้วยต่อหน้าเพื่อนร่วมชาติของตัวเอง โดยประกอบไปด้วย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เคยพา เรอัล มาดริด คว้า บิ๊กเอียร์ สมัยที่ 10 ณ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เมื่อปี 2014 ถัดมาปี 2017 แกเร็ธ เบล อดีตปีกทีมชาติเวลส์ พา เรอัล มาดริด ถล่ม ยูเวนตุส 4-1 ณ สนาม มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม กรุงคาร์ดิฟฟ์ ต่อด้วยปี 2022 ที่ คาริม เบนเซม่า พา ราชันชุดขาว เชือด ลิเวอร์พูล 1-0 คว้าแชมป์สมัย 14  ณ สต๊าด เดอ ฟร้องซ์

ก่อนที่ เบลลิงแฮม จะเป็นแข้งของ มาดริด รายล่าสุดที่ได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ต่อหน้าแฟนบอลชาติตัวเองเป็นสมัยที่ 15 สมัยของ ราชันชุดขาว

ราชันชุดขาว กับขุมกำลังอันไร้เทียมทาน

image 3 - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

นอกจาก เบลลิงแฮม แล้ว คู่หูใหม่แกะกล่องของเขา ที่เพิ่งจะได้ประสานงานกันในซีซั่นนี้อย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ กองหน้าชาวบราซิล ก็เป็นผู้เล่นอีกหนึ่งคนที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างหนาหู โดยเฉพาะการทำ 1 ประตู ในนัดชิงดำ ทำให้ วินิซิอุส มีส่วนร่วมกับประตูในรอบน็อกเอาท์รายการนี้เป็นครั้งที่ 22 แบ่งเป็น 11 ประตู และ 11 แอสซิสต์ ซึ่งเป็นตัวเลขมากที่สุดสำหรับนักเตะที่อายุต่ำกว่า 24 ปี โดยก่อนหน้านี้มีแค่ ลิโอเนล เมสซี่ เท่านั้นที่เคยทำได้

วินิซิอุส เป็นผู้เล่นที่มีพัฒนาการอันก้าวกระโดด และกลายเป็นแนวรุกที่ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ขาดไม่ได้ไปแล้ว ณ เวลานี้ สำหรับผลงานของ เบลลิงแฮม กับ ซีซั่นแรกในสีเสื้อ ราชันชุดขาว ยิง 23 ประตู กับอีก 13 แอสซิสต์ จากลงสนามไป 42 เกม ขณะที่ วินิซิอุส จูเนียร์ ลงสนามไป 39 เกม ตะบันไป 24 ประตูและทำไปอีก 11 แอสซิสต์

มากันที่สถิติของ ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ผู้รักษาประตูร่างโย่ง ที่เจออาการบาดเจ็บเกือบตลอดทั้งซีซั่นจนหลุดโผทีมชาติเบลเยี่ยม ลุยศึก ยูโร 2024 อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวกลับมาเฝ้าเสาได้ในช่วงท้ายซีซั่น ด้วยผลงานลงเล่น 5 นัด เก็บคลีนชีตได้ทั้งหมด และที่สำคัญ กูร์กตัวร์ เซฟเป็นพลวัน

โดยเฉพาะในครึ่งแรก จนพา เรอัล มาดริด เถลิงแชมป์ยุโรปสมัยที่ 15 เท่านั้นยังไม่พอ แชมป์สมัยล่าสุด ยังทำให้ ลูก้า โมดริช เพลย์เมกเกอร์โครเอเชียกลายเป็นนักเตะที่คว้าแชมป์กับ เรอัล มาดริด มากที่สุด ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร เมื่อ 122 ปีก่อนด้วยจำนวน 26 โทรฟี่ เท่ากับ นาโช่ เฟร์นานเดซ รวมไปทั้งแซงหน้า คาริม เบนเซม่า และ มาร์เซโล่ ที่คว้าถ้วยไปทั้งสิ้น 25 ครั้ง

The Last Dance Of โทนี่ โครส

image 4 - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

ขณะที่คนสุดท้ายของ มาดริด ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้นั่นก็คือ โทนี่ โครส ห้องเครื่องคนสำคัญที่ผ่านพ้นการลงเล่นเกมสุดท้ายให้กับ ราชันชุดขาว ไปแล้ว แถมยังสั่งลาด้วยการได้ชูถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้แบบสุดคูลด้วย และถ้าหากว่า โครส ปิดฉากอาชีพด้วยการเป็นแชมป์ยูโรกับทีมชาติเยอรมัน ซึ่งเป็นรายการเดียวที่ยังไม่เคยสัมผัส ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ชื่อของ โทนี่ โครส จะโผล่เข้าไปลุ้นรางวัล บัลลงดอร์ ในปีนี้

สถิติของ โทนี่ โครส ในเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ประกอบไปด้วย
สัมผัสบอลมากที่สุด 108 ครั้ง
ผ่านบอลสำเร็จมากที่สุด 91/94 ครั้ง
ครอสบอลมากที่สุด 9 ครั้ง
นำบอลกลับมาครอบครองมากที่สุด 5 ครั้ง
สร้างโอกาสมากที่สุด 4 คร้ัง
ยิงตรงกรอบมากที่สุด 2 ครั้ง
แอสซิสต์มากที่สุด(เท่ากับ) 1 ครั้ง

image 5 - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

แวะมากันที่ฝั่งผู้แพ้กันบ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่าทีมของ เอดิน แทร์ซิช สามารถต่อกรกับ มาดริด ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในครึ่งแรกที่มีโอกาสขึ้นนำหลายครั้งจากเกมสวนกลับ โดยหลังจบเกม กุนซือทัพ เสือเหลือง ให้สัมภาษณ์ด้วยการชื่นชมลูกทีมว่า

“เราเล่นได้ดีมากตั้งแต่วินาทีแรกเลย และผมก็คิดว่า เราสมควรได้อะไรที่ดีกว่าการแพ้ 0-2 เราได้แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้มาแค่เล่นๆ ในเกมรอบชิงฯ แต่เราต้องการเป็นผู้ชนะ เราทำได้ดีหลายอย่าง แต่พอจังหวะสำคัญๆ พวกเขานิ่งกว่า ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราไม่มี”

The Last Dance Of มาร์โก้ รอยส์

image 6 - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

ซึ่งผู้เล่นที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมากที่สุดของ ดอร์ทมุนด์ ก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มาร์โก้ รอยส์ แนวรุกที่กำลังจะอำลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ โดยในเกมรอบชิงชนะเลิศ รอยส์ ออกสตาร์ทอยู่ในมม้านั่งสำรอง

และถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 72 แต่พอลงสนามปุ๊ป ทีมกลับต้องมาเสีย 2 ประตูซะอย่างงั้น ความพ่ายแพ้ให้ มาดริด นับเป็นความผิดหวังครั้งที่ 2 ที่ มาร์โก้ รอยส์ อกหักจากการคว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก หลังเคยพ่ายต่อ บาเยิร์น มิวนิก มาแล้วในปี 2013 ซึ่งความผิดหวังครั้งนั้นก็เกิดขึ้นที่ เวมบลีย์ เช่นกัน 

สุดท้ายมากันเรื่องของเงินรางวัลที่ มาร์ก้า สื่อยักษ์ใหญ่แดนกระทิงดุ ออกมาเปิดเผยเงินรางวัลที่จะได้จากรายการนี้ อ้างอิงจากการที่ ยูฟ่า เคยออกมาการประกาศก่อนหน้านี้ว่า ยอดเงินรางวัลรวมในปีนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 2,032 ล้านยูโร เท่ากับซีซั่นก่อน โดยเงินรางวัลทั้งหมดจะถูกแบ่งเป็นสองส่วน

ส่วนแรก 55 เปอร์เซ็นต์จะมอบให้กับทีมต่างๆ ตามผลงาน ส่วนเงินรางวัลอีก 45 เปอร์เซ็นต์จะแบ่งเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ (ประมาณ 600 ล้านยูโร) จ่ายให้กับ 32 ทีมที่เข้ามาเล่นรอบแบ่งกลุ่ม ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์ (ประมาณ 300 ล้านยูโร) จ่ายตามค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ทำให้ เรอัล มาดริด โกยเงินในฤดูกาลนี้ไปทั้งหมด 84.5 ล้านยูโร แบ่งเป็นเงินรางวัลจากการคว้าแชมป์ 20 ล้านยูโร และเงินรางวัลจากผลงานในรอบที่ผ่านๆ มาที่พวกเขาเก็บชัยได้รัวๆ อีกถึง 64.5 ล้านยูโร เลยทีเดียว

เรอัล มาดริด ขี่ดวงคว้าแชมป์ บิ๊กเอียร์ สมัยที่ 15

image 7 - เปิดเบื้องหลังพร้อมตัวเลขที่น่าสนใจ หลัง ราชันชุดขาว ครองจ้าวแห่งยุโรป

สรุปสุดท้ายบทสรุปของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนสลีก ในฤดูกาลนี้ เต็งอย่างทัพ ราชันชุดขาว ที่นอกจากจะมีขุมกำลังที่แกร่งทั่วแผ่น มีประสบการณ์ช่ำชองในเวลายุโรป รวมไปถึงยังมีกุนซือจอมเก๋ายอดฝีมืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ แล้ว ดูเหมือนว่าเทพีแห่งโชคน่าจะยืนอยู่เคียงข้างพวกเขาด้วย โกงตายมาตั้งแต่รอบก่อนรองชนะเลิศก่อนดวลจุดโทษเอาชนะแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนจะมาพลิกสถานการณ์ผ่าน บาเยิร์น มิวนิค ในรอบรองชนะเลิศ

ในขณะที่นัดชิงดำ ดอร์ทมุนด์ ยิงเท่าไหร่ก็ยิงไม่เข้า พอยิงเข้า VAR ก็ดึงกลับไปอีก ดังนั้นทุกองค์ประกอบของ เรอัล มาดริด ในฤดูกาลนี้ คู่ควรกับการเป็นแชมป์ บิ๊กเอียร์ ทุกประการ

สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ

เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค

Share: