เรียกได้ว่ามาเงียบๆสำหรับพลพรรค สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ที่โผล่มาอีกทีกลายเป็นรองจ่าฝูงของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปแล้ว หลังจากที่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทัพ สิงห์บลูส์ ภายใต้การคุมทีมของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า บุกเอาชนะ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ได้แบบสุดมันส์ 4-2 ทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 2 ประตูในช่วงต้นเกม
จากชัยชนะเหนือ สเปอร์ส ส่งผลให้ เชลซี เก็บเพิ่มเป็น 31 แต้ม แซงหน้า อาร์เซน่อล ขึ้นไปรั้งเป็นรองจ่าฝูง ไล่จี้ จ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล 4 แต้มแต่แข่งมากกว่า 1 นัด โดยจากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้มีการคาดหมายกันว่า เชลซี อาจจะเป็นหนึ่งในทีมที่ลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้
เชลซี ยังไม่พร้อมลุ้นแชมป์ ?
อย่างไรก็ตาม เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซือของ เชลซี ก็ออกมาลดกระแสดังกล่าว โดยพูดถึงโอกาสลุ้นแชมป์ของ เชลซี ในซีซั่นนี้ว่า“ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และ ซิตี้ คงจะไม่ลื่นล้มแบบที่ คูคูเรญ่า ทำในวันนี้ พูดตามตรงคือเรายังไม่พร้อมสำหรับลุ้นแชมป์ เราห่างไกลจากทีมเหล่านั้น เราแค่โฟกัสไปที่การพยายามพัฒนาขึ้นในแต่ละวัน
“เราพัฒนามาไกลกว่าที่ผมคาดหวังไว้ ทั้งวิธีการเล่นทั้งจังหวะมีบอล และไม่มีบอล รวมทั้งในแง่ของผลการแข่งขัน แผนการและแนวทางของเราคือการทำให้ผู้เล่นไม่ชะลอการพัฒนา พวกเขาไม่สามารถดร็อปลงได้ เพราะมีคนอื่นรอแทนที่อยู่เสมอ”
สำหรับซีซั่นนี้ เชลซี ออกสตาร์ทด้วยการดึงตัว เอ็นโซ่ มาเรสก้า เข้ามาคุมทีมต่อจาก เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่แยกทางกับทีมไปก่อนหน้านั้น ขณะที่การเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ มาเรสก้า ดึงศิษย์เก่าอย่าง เคียร์แนน ดิวส์บิวรี ฮอลล์ ตามมาจาก เลสเตอร์ และ เปโดร เนโต้ จาก วูล์ฟ แถมยังได้ตัว เจดอน ซานโช่ มาเสริมขุมกำลังในรูปแบบยืมตัวจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงท้ายตลาดอีกหนึ่งราย
หลุดฟอร์มไม่นาน ก่อนทะยานรั้งรองจ่าฝูง
สิงห์บลูส์ ประเดิมซีซั่นด้วยความพ่ายแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2 แต่หลังจากนั้นทีมของ มาเรสก้า ก็ดูเหมือนว่าจะจูนเครื่องติดชนะ 4 เสมอ 1 จาก 5 เกมต่อมาของซีซั่น อย่างไรก็ตามหลังจากในช่วงเดือนตุลาคมผลงานของ เชลซี ดร็อปลงเล็กน้อย เมื่อชนะได้เพียงเกมเดียว จากการลงสนาม 5 เกม ซึ่ง 3 จาก 5 เกมคือการบุกไปแพ้ ลิเวอร์พูล รวมทั้งเสมอกับ แมนฯ ยู
และ อาร์เซน่อล ซึ่ง ณ เวลานั้น เชลซี ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 3 ของตาราง พูดง่ายๆก็คือนับตั้งแต่บุกแพ้ ลิเวอร์พูล เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา เชลซี ยังไม่พลาดท่าแพ้ให้กับใครอีกเลยจนถึงปัจจุบัน
จุดเด่นของเชลซีในฤดูกาลนี้ที่ดีขึ้นมาแบบผิดหูผิดตานั่นก็คือแนวรุก ที่เริ่มจะสลับหน้าโชว์ฟอร์มเก่งกันออกมา ซึ่งจากสถิติหลังผ่าน 15 เกมแรกของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เชลซี คือทีมที่ลั่นไกสังหารประตูคู่แข่งได้มากที่สุดถึง 35 ประตู และหากนับเฉพาะผลงานช่วงหลังทีมของ มาเรสก้า คว้าชัยในลีกมา 4 เกมติดต่อกัน แถมยังตะบันไปถึง 14 ประตู
แนวรุกโคตรดุ ยิงมากสุดในลีก
ซึ่งแน่นอนว่าผู้เล่นที่ร้อนแรงที่สุดของ เชลซี ณ เวลานี้ก็คือ โคล พาลเมอร์ แนวรุกทีมชาติอังกฤษ ที่กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีม โดยเกมล่าสุดกับ สเปอร์ส พาลเมอร์ สร้างสถิติใหม่ด้วยการยิงจุดโทษสำเร็จ 12 ครั้งในพรีเมียร์ลีก ถือเป็นสถิติยิงจุดโทษ 100% ดีที่สุดในบรรดานักเตะในลีก แซงหน้า ยาย่า ตูเร่ อดีตกองกลาง แมน ซิตี้ ที่ทำได้ 11 ประตูจากการสังหารจุดโทษ 11 ครั้ง และซีซั่นนี้ พาลเมอร์ ก็ตะบันไปแล้ว 11 ประตูจากการลงสนาม 15 เกมลีก
ขณะที่อีกหนึ่งผู้เล่นใหม่ที่กลับมาเค้นฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง นั่นก็คือ เจดอน ซานโช่ ที่พักหลังปรับตัวได้ และเริ่มกลายเป็นตัวหลักที่ มาเรสก้า ให้โอกาสลงสนามมาอาละวาดฝั่งซ้ายอย่างต่อเนื่อง จากนักเตะที่เกือบดับ แต่กลับมาเกิดอีกครั้ง แถมยังยิงประตูให้กับทีมในเกมล่าสุดกับ สเปอร์ส ผลงานของ ซานโช่ กับ เชลซี ณ ตอนนี้ลงสนามไปแล้ว 10 เกมยิง 2 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ อายุ 24 ฟอร์มส่วนตัวระดับนี้ กับออปชั่นซื้อขาด 20 ล้าน
ในขณะที่ตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ที่ทำเอาแฟนๆ เชลซี ส่ายหัวกันในตอนแรกอย่าง นิโกลัส แจ็คสัน กองหน้าเซเนกัล ที่ยิงไปเพียง 14 ประตูเมื่อฤดูกาลที่แล้ว มาในฤดูกาลนี้ แจ็คสัน แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท และสามารถยิงประตู ตอบแทนความไว้วางใจของ มาเรสก้า ได้ถึง 8 ประตูจากการลงสนามเพียง 14 เกม
นอกเหนือจากแนวรุกที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีผู้เล่นที่ พร้อมจะลุกจากมานั่งสำรองมาจารึกชื่อของตัวเองบนสกอร์บอร์ดไม่ว่าจะเป็น เปโดร เนโต้ ,คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ,เจา เฟลิกซ์ รวมทั้ง โนนี่ มาดูเอเก้ ที่ล้วนแล้วยิงประตูได้ทุกคนในฤดูกาลนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งมิดฟิลด์อย่าง เอ็นโซ่ แฟร์นานเดส ที่ปีก่อนยิงได้แค่ 3 ประตูตลอดทั้งฤดูกาล แต่มาซีซั่นนี้ยิงไปแล้ว 3 ลูกจากการลงสนามเพียง 14 เกม
ต้องแก้ไข เจอทีมใหญ่ยังไปไม่เป็น
ขณะที่จุดอ่อนของ เชลซี ในซีซั่นนี้ คือการต่อกรกับเหล่าบรรดาทีมใหญ่ โดยพวกเขายังเอาชนะทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เลย โดยเก็บได้แค่ 2 แต้มเท่านั้น และแม้ว่าโปรแกรม 5 เกมต่อไปของ เชลซี มีโอกาสเก็บชัยได้ทั้ง 5 เกม เพราะเมื่อหากมองไปที่คู่แข่งและคุณภาพผู้เล่นแล้ว ต้องยอมรับว่าด้วยความมั่นใจของทีมในเวลานี้ มันเป็นอะไรที่แฟน สิงห์บลูส์ หวังได้จริงๆ
โดย 5 เกมต่อไปของ สิงโตน้ำเงินคราม จะเป็นการเล่นในบ้าน 2 เกมประกอบดงไปด้วยการเจอ เบรนท์ฟอร์ด และ ฟูแล่ม ขณะที่อีก 3 เกมเยือน จะต้องบุกไปเจอกับ เอฟเวอร์ อิปสวิช และ คริสตัล พาเลซ
ท้ายฤดูกาล งานหนัก บิ๊กทีมรออยู่
แต่อย่างไรก็ตามอย่าลืมไปว่าฟุตบอลมีเกมเหย้าแล้วก็มีเกมเยือน ซึ่งช่วงท้ายฤดูกาล โดยเฉพาะ 10 สุดท้าย เอ็นโซ่ มาเรสก้า จะต้องเจอบททดสอบอันยากลำบากและสุดท้าทายอีกครั้ง เพราะโปรแกรมที่จะต้องรีแมตช์กับเหล่าบรรดาบิ๊กทีมทั้ง อาร์เซน่อล สเปอร์ส ลิเวอร์พูล รวมทั้ง แมนฯ ยู รออยู่ก่อนจบฤดูกาล
ด้าน วิลเลี่ยม กัลลาส อดีตปราการหลังของ เชลซี และ อาร์เซน่อล ออกมาแสดงความเห็นว่า เชลซี ยังไม่พร้อมสำหรับการท้าชิบแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ แต่มั่นใจว่าฤดูกาลหน้าจะมาร่วมแย่งแชมป์แน่ โดยวิเคราะห์ในแนวทางของตัวเองว่า
“เอ็นโซ่ มาเรสก้า รู้ว่า เชลซี ยังไม่ใช่ทีมลุ้นแชมป์ ผมเองก็คิดแบบนั้น เชลซี ยังไม่พร้อมในฤดูกาลนี้ อย่างที่ผมบอกคุณไป เชลซีจะเป็นทีมลุ้นแชมป์ในฤดูกาลหน้า ปีหน้าพวกเขาจะพร้อม เพราะตอนนี้พวกเขาดูจะเป็นทีมที่จบท็อปโฟร์มากกว่า แต่ในปีหน้าพวกเขาจะพร้อมแล้ว”
“นั่นเป็นเหตุผลว่าถ้า อาร์เซน่อล ไม่คว้าแชมป์ในปีนี้ มันจะยากขึ้นในปีหน้า เพราะทั้ง เชลซี และ ยูไนเต็ด จะเข้ามาท้าชิงด้วย และ ซิตี้ ก็จะกลับมาอีกครั้ง ฤดูกาลหน้าจะเป็นฤดูกาลที่หลายทีมเข้ามาเป็นผู้ท้าชิง และผมไม่คิดว่า อาร์เซน่อล จะอยู่ในกลุ่มนั้นในปีหน้า ผมคิดว่าการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้ อาร์เซน่อล มีปัญหาหลายอย่างในปีหน้า”
สถิติฟ้อง เอ็นโซ่ บ้าเกมรุก
สำหรับสถิติการคุมทีมของ มาเรสก้า หลังจากที่แยกทางจากการเป็นมือขวาของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในทัพ เรือใบสีฟ้า เจ้าตัวก็เข้ามาคุม เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2023 และสามารถพาทัพ จิ้งจอกสยาม กลับคืนสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ ในฐานะแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนสชิพ ด้วยสถิติคุมทีม 53 นัด ชนะ 36 เสมอ 4 แพ้ 13 ยิงได้ถึง 103 ประตู เสีย 50 ประตู คิดเปอร์เซ็นชัยชนะอยู่ที่ 67.92 เปอร์เซ็น
ในขณะที่สถิติการคุมทัพ สิงห์บลูส์ มาเรสก้า คุมทีม เชลซี ไปแล้วทั้งสิ้น 23 เกม เก็บชัยชนะได้ 15 เกมเสมอและแพ้อย่างละ 4 เกม ยิงได้ถึง 61 ประตู เสียไป 25 ประตู คิดเปอร์เซ็นชัยชนะอยู่ที่ 65.22 เปอร์เซ็น
สำหรับโปรแกรมนัดต่อไปของ เชลซี จะต้องบุกไปเยือน แอสตาน่า ที่คาซัคสถาน ในรายการ ยูฟ่า คอนเฟอร์เรนซ์ ลีก วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคมนี้ ก่อนที่จะกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก นัดที่ 16 ด้วยการเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ รับการมาเยือนของ เบรนท์ฟอร์ด ในคืนวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม คิกออฟเวลา 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค