เรียกได้ว่าเป็นกระแสข่าวใหญ่สะเทือนวงการลูกหนังแดนผู้ดี แถมสะเทือนมาถึงประเทศไทยเลยทีเดียว สำหรับการถูกตั้งข้อกล่าวหาละเมิดกฏควบคุมการเงิน

EFL ตั้งข้อหา เลสเตอร์ มาเร็ว เคลมเร็ว

หรือ ไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมในศึก เดอะ แชมเปี้ยนสชิพ อังกฤษ ที่มี อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา หัวเรือใหญ่ชาวไทยของกลุ่มทุน คิง เพาเวอร์ ดำรงตำแหน่งประธานสโมสร

เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผานมา เลสเตอร์ ซิตี้ ถูกตั้งข้อหาละเมิดกฏ Profitability and Sustainability (PSR) หรือ “กฎเพื่อการทำกำไรและความยั่งยืน” ของทีมในพรีเมียร์ลีก ที่รับนโยบายมาจาก ยูฟ่า ที่มีชื่อเดิมที่คุ้นหู ไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ที่ เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2013 ต่อมาในวันที่ 22 มีนาคม 2567 สมาคมฟุตบอลลีกของอังกฤษได้ตีพิมพ์คำสั่งห้ามสโมสรฯ จดทะเบียนนักฟุตบอลใหม่

ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันลีกแชมเปี้ยนชิพ สาเหตุมาจากสโมสรฯ ได้ละเมิดกฎการทำกำไรและความยั่งยืน ซึ่งเนื้อหาในกฏดังกล่าวก็อย่างที่ทราบกันว่า สโมสรในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะต้องมีผลประกอบการขาดทุนไม่เกิน 105 ล้านปอนด์ จากผลประกอบการ 3 ปีหลังสุด

โดยการนับยอดในคลังของสโมสร จะนับแค่เฉพาะผลกำไรและขาดทุน แค่การซื้อ-ขายนักเตะ รวมถึงการจ่ายค่าเหนื่อย ค่าจ้าง นักเตะและทีมงานส่วนต่าง ๆ ของสโมสรเท่านั้น ส่วนงบประมาณด้านอื่นๆทั้งการพัฒนาอะคาเดมี, สิ่งอำนวยความสะดวก, ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาจะไม่ถูกนับรวมเข้ามาในการตรวจสอบแต่อย่างใด

อยู่ดีๆก็ตีกรอบเวลา เร่งรัดคดี จิ้งจอกสยาม

อย่างไรก็ตามการตรวจสอบและตัดสินคดีความดังกล่าวแบบที่ใช้อยู่เดิมนั้นไม่มีกรอบของเวลามากำหนดว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ทว่าจากกรณีล่าสุดของ จิ้งจอกสยาม กลับมีเดดไลน์จากคณะกรรมการกลางให้มีการตัดสินภายใน 3 เดือน ซึ่งก็คาดกันว่าน่าจะมาจากกรณีของ เอฟเวอร์ตัน ที่ถูกลงโทษตัดแต้มไปก่อนหน้านี้

ในข้อหาเดียวกัน ซึ่งทัพ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน ทำผิดกฎมานานแล้ว แต่การตัดสินที่ไร้กรอบเวลา ทำให้ผลการตัดสินเพิ่งจะออกมาในฤดูกาลนี้ จึงมีการตั้งแง่ขึ้นว่าต้องมีการระบุเงื่อนไขเรื่องของกรอบระยะเวลาในการสอบสวน

ตามกฏที่ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า การตรวจสอบเรื่องภาวะการขาดทุนสำหรับทีมในพรีเมียร์ลีก จะต้องต้องตรวจสอบย้อนหลังไป 3 ซีซั่น อย่างไรก็ตามจากสถานะ ณ ตอนนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้อยู่ในพรีเมียร์ลีกแล้ว พวกเขาตกชั้นเล่นในเดอะ เเชมเปี้ยนชิพ

ตั้งแต่เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา นั่นหมายความว่า จิ้งจอกสยาม ตกลงมาอยู่ภายใต้การดูแลของ EFL หรือที่ลีกเรียกฟุตบอลลีกอังกฤษนั่นเอง แต่หากขึ้นชั้นไปเล่นในลีกสูงสุดก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พรีเมียร์ลีก โดยตรงหรือ EPL

ซึ่งการที่พรีเมียร์ลีกใช้กฎการเงินมาต้องข้อกล่าวหากับ เลสเตอร์ มีสถานะอยู่ลีกรอง จึงเป็นการใช้อำนาจทีมิชอบ เพราะมันคือการดำเนินคดีข้ามข้ามองค์กรที่ฝั่งของ เลสเตอร์ อาจจะมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งแบบข้ามกฎเกณฑ์ก็เป็นไปได้ เพราะอย่าลืมว่ากฏข้อนี้เป็นพรีเมียร์ลีกเองที่ตั้งขึ้นมา ดังนั้นก็ต้องหาวิธีรับมือและวิธีตรวจสอบที่ต้องมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย

จิ้งจอก รัดเข็มขัด แทบไม่ได้ใช้เงินในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เลสเตอร์ ของ เอ็นโซ มาเรสก้า แทบไม่ได้เสริมทีมจากงบประมาณในคลังของตัวเองเลย แถมพวกเขายังปล่อยนักเตะค่าเหนื่อยแพงออกจากทีมไปหลายคนทั้ง ยูริ ติเลอมองส์, ไรอัน เบอร์ทรานด์, จอนนี่ อีแวนส์, คักลาร์ โซชุนชู และ อโยเซ่ เปเรซ โดยเฉพาะ 3 อย่าง เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วีย์ บาร์นส์  และ ทิโมธี่ คาสตาญ ที่สามารถเปลี่ยนเป็นรายรับให้กับทีมถึง 100 ล้านปอนด์

ดังนั้นหากมีการตรวจสอบปิดงบประมาณประจำปีของสโมสรในปีล่าสุด พวกเขาแทบไม่ต้องแยแสกับข้อกล่าวหาเลยก็ได้ แต่จากการถูกเร่งรัดให้มีการตัดสินคดีภายใน 3 เดือน จิ้งจอกสยาม จึงต้องซวยไปเต็มๆ เพราะเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อนหน้า พวกเขายังโลดแล่นในลีกสูงสุดแดนผู้ดี แถมถ้าเกิดในซีซั่นนี้พวกเขาสามารถเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ก็จะมีรายรับจากการสนับสนุน

และเงินค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่จะบวกมาอีกเน้น ๆ การันตีมากกว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งมันนี้จะเข้ามาช่วยแก้ตัวเลขในบัญชีได้เน้นๆ  และส่งผลต่อการสร้างทีมในระยะยาวของสโมสร ดังนั้นการเร่งรัดการดำเนินคดีจึงส่งผบลกระทบกับ เลสเตอร์ ไปเต็มดอก แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยทาง เลสเตอร์ เองก็มองว่า พรีเมียร์ลีก ตรวจสอบข้อกล่าวหาทั้งหมดแบบไม่เป็นธรรม และเป็นการเลือกปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐาน เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็มีอย่าง แมนฯ ซิตี้ ที่ถูกตังข้อกล่าวหาเรื่องการผิดกฎการเงิน ถึง 115 กระทง กลับยังไม่โดนลงโทษจาก พรีเมียร์ลีก เลยแม้แต่ครั้งเดียว

รีแอคชั่น คุณต็อบ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนาประภา ปธ.เลสเตอร์

ทันทีที่พรีเมียร์ลีกมีการแจ้งข้อหา เลสเตอร์ ซิตี้ เรื่องทำผิดกฎทางการเงิน ประธานสโมสรอย่าง อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ก็ตอบโต้กลับทันทีว่า นี่คือการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม และการใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเล่นงานทีมอย่าง เลสเตอร์ ที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในลีกสูงสุดด้วยซ้ำ

“ผมประหลาดใจมากที่พรีเมียร์ลีกดำเนินการต่อเลสเตอร์ ซิตี้ ทั้ง ๆ ที่เลสเตอร์ไม่ได้เล่นในพรีเมียร์ลีกแล้ว โดยฟุตบอลลีกกลับให้ความร่วมมือที่จะลงโทษเราด้วย การกระทำของพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลลีกไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เลสเตอร์ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด”

“เลสเตอร์ จะต่อสู้และปกป้องสิทธิของสโมสร แฟนบอล เลสเตอร์ และทุกคนที่คอยเป็นกำลังให้เราอย่างถึงที่สุด เพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้เป็นแค่สโมสรฟุตบอล แต่เป็นแรงบันดาลใจให้แฟนบอลและคนจำนวนมากที่จะต่อสู้โดยไม่ยอมแพ้ เพื่อทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์อะไรเราก็จะทำหน้าที่เจ้าของทีมให้ดีที่สุดและจะเลื่อนชั้นกลับไป พรีเมียร์ลีก ให้ได้”

ล่าสุด เลสเตอร์ ซิตี้ ออกแถลงการณ์ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้อง พรีเมียร์ลีก และฟุตบอลลีกต่อสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เพื่อเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะเป็นอำนาจของสมาคมฟุตบอลอังกฤษในการตัดสินคดี และแม้ว่าสมาคมฟุตบอลลีกของอังกฤษ ทราบดีอยู่แล้วว่าสโมสรฯ ได้โต้แย้งอำนาจของสมาคมฟุตบอลลีก ของอังกฤษมาโดยตลอด อีกทั้ง คำสั่งดังกล่าวนั้นไม่มีเหตุผลและเป็นการออกคำสั่งก่อนเวลาอันควร เนื่องจากยังเหลือเวลาอีกกว่า 3 เดือน จนกว่าจะสิ้นสุดฤดูกาล 2023/24

ส.ส. เลสเตอร์ ร่วมวงฉะ ตั้งคำถาม 2 มาตรฐานหรือไม่ ?

ต่อมาไม่นาน โจนาธาน แอชเวิร์ธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประจำย่านเลสเตอร์ เซาธ์ เขียนจดหมายถึง ริชาร์ด มาสเตอร์ส กรรมการผู้จัดการของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพื่อแสดงความกังขาถึงเรื่องที่ เลสเตอร์ ซิตี้ โดนตั้งข้อหาว่าละเมิดกฎควบคุมการเงินของ พรีเมียร์ลีก

“ถึงคุณ ริชาร์ด ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นเพื่อแสดงความกังวลต่อการปฏิบัติกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ฟุตบอล คลับ ซึ่งเป็นทีมที่อยู่ในเขตเลือกตั้งของผม ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ในฐานะตัวแทนของประชาชนหลายคนที่อยู่ในเขตของผม รวมถึงในฐานะตัวแทนของแฟนบอลทั่วทั้งสหราชอาณาจักรด้วย

“ข่าวที่ พรีเมียร์ลีก บอกกับคณะกรรมการอิสระว่า เลสเตอร์ ซิตี้ อาจจะละเมิดกฎด้านการทำกำไรในระดับที่เหมาะสมและการทำให้ทีมมีความมั่นคงนั้นทำให้แฟนบอล เลสเตอร์ โมโหอย่างมากและไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

“แฟนบอลหลายคนรู้ดีว่ากระบวนการนี้มีความคลุมเครือ และอาจจะนำไปสู่การตัดแต้มได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความอันตรายกับอนาคตของสโมสร ยิ่งไปกว่านั้น แฟนบอลยังบอกผมด้วยว่าพวกเขาไม่มั่นใจว่ากระบวนการนี้มันทำงานยังไงและถูกใช้งานแบบไหน ผมดีใจที่คุณให้รายละเอียดบางอย่างกับผมและพูดคุยกับผมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีคำถามอีกหลายคำถามที่ผมหวังว่าคุณจะตอบได้โดยเร็ว”

“หลังมีการยืนยันถึงการดำเนินมาตรการทางวินัยกับหลายสโมสร (และมีการตัดแต้มกับบางทีม) แล้วนั้น ผมก็มีความสงสัยว่า พรีเมียร์ลีก ได้อธิบายถึงเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้นหรือไม่ รวมถึงทำให้มาตรการด้านระเบียบวินัยกับการตัดสินใจมันมีความโปร่งใสมากขึ้นรึเปล่า เพื่อที่แฟนบอลจะได้มั่นใจว่ามันมีการดำเนินการด้วยความยุติธรรม”

“มันมีสโมสรอื่นๆ ที่โดนตั้งข้อหาเกี่ยวกับประเด็นนี้ถึงหลายข้อหา แต่กลับยังไม่ได้มีคำตัดสินกับพวกเขาเลย พรีเมียร์ลีก จะดำเนินมาตรการกับทีมเหล่านั้นให้เร็วขึ้นด้วยวิธีไหน เพื่อที่กฎเหล่านี้จะได้ถูกใช้อย่างยุติธรรมและมีความคงเส้นคงวา ? คุณมั่นใจหรือว่ามาตรการด้านวินัยกับกฎเกณฑ์ของ พรีเมียร์ลีก กำลังถูกใช้กับทุกสโมสรด้วยความเท่าเทียมและเหมาะสมจริงๆ ?”

“ตอนนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้เล่นอยู่ใน พรีเมียร์ลีก แท้ๆ แล้วอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณต้องแจ้งกับคณะกรรมการด้านระเบียบวินัยว่าให้ดำเนินการกับทีมที่ไม่ได้เล่นอยู่ใน พรีเมียร์ลีก ? เราต่างก็อยากให้ พรีเมียร์ลีก ยังคงเป็นลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกเหมือนเดิม”

“เลสเตอร์ ซิตี้ คือสัญลักษณ์ในเรื่องที่ว่า พรีเมียร์ลีก มีดีอะไรบ้าง แต่คุณจะต้องเข้าใจว่ากระบวนการที่คุณทำนั้นมันมีโอกาสสูงที่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อประชาชนในเขตเลือกตั้งของผม และพวกเขาก็สมควรจะได้คำตอบกับเรื่องนี้”

โซเชี่ยลตราหน้า พรีเมียร์ลีกเก่งแต่กับทีมเล็ก

สำหรับความผิดของ เลสเตอร์ ซิตี้ มีความแตกต่างจากข้อกล่าวหาของ 2 ทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ที่กำลังถูกพรีเมียร์ลีกสอบสวนอยู่เช่นเดียวกัน โดยทั้ง เรือใบสีฟ้า กับ สิงโตน้ำเงินคราม ถูกตั้งข้อหา ว่าไม่สามารถอธิบายที่มาของรายได้อย่างชัดเจนได้ จนมีข้อสงสัยว่าเจ้าของทีมมีการตกแต่งบัญชีให้เป็นรายได้จากผู้สนับสนุน ด้วยการใช้เงินส่วนตัว อัดฉีดเข้าไปหรือไม่

ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า พรีเมียร์ลีก 2 มาตรฐานอย่างชัดเจนมีการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน เพราะเคสใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี แทบไม่มีความคืบหน้า ไร้กรอบเวลา แต่สำหรับ เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมีการเร่งรัดการดำเนินการให้จบภายใน 3 เดือน  ทางฝั่งของ ซิตี้ อย่างที่บอกไปว่าพวกเขามีข้อกล่าวหามากถึง 115 กระทง

ขณะที่ฝั่ง สิงห์บลูส์ ยังต้องถูกสอบสวนต่อไปว่า กลุ่มทุนปัจจุบันที่นำโดย ท็อดด์ โบห์ลีย์ มีการตกแต่งบัญชีหรือไม่ เพราะพวกเขาเซ็นสัญญากับผู้เล่นหลายคนนานถึง 8 ปี แถมยังมีคดีเก่าตั้งแต่สมัยที่ โรมัน อับราโมวิช เป็นเจ้าของทีม ที่ยังคาราคาซังอยู่ด้วย

แต่สุดท้ายไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรไปดลใจให้ พรีเมียร์ลีก สะกิดไปยัง ฟุตบอลลีกของอังกฤษ (EPL) เข้ามามีแอคชั่นกับ เลสเตอร์ ซิตี้ โดยในโลกโซเชี่ยลก็ตั้งข้อสังเกตุว่า สโมสรที่มีเจ้าของที่ไม่ใช่ชาวอังกฤษ มักจะถูกจ้องเล่นงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากองค์กรมาเฟียในคราบฟุตบอลลีก อยู่เป็นประจำ ไม่ต่างอะไรกับการรณรงค์ STOP RACISM ที่รณรงค์กันทั่วโลก แต่พรีเมียร์ลีก กลับทำแบบนี้เสียเอง

สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ

เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค