ถึงตอนนี้หลายๆลีกชั้นนำในยุโรป เริ่มที่จะเห็นเค้าลางของทีมที่จะเป็นแชมป์กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในศึบุนเดสลีกา เยอรมัน ที่นับวัน ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ของ ชาบี อลอนโซ่ จะยืดระยะห่างจาก บาเยิร์น มิวนิค
และเข้าใกล้ถาดแชมป์บุนเดสลีกาเข้าไปทุกขณะ ส่วนเวที กัลโช เซเรีย อา อิตาลี ก็มี อินเตอร์ มิลาน นำโด่งเป็นจ่าฝูง ขณะที่ลา ลีกา สเปน เรอัล มาดริด ก็ยังคงยึดหัวตารางไว้ได้อย่างเหนียว โดยมีแต้มทิ้งห่างทีมม้ามืดที่เป็นรองจ่าฝูงอย่าง คิโรนา อยู่ถึง 7 แต้มนอกจากนี้ในศึกลีก เอิง ฝรั่งเศส ก็ยังคงเป็น ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่ยังคงไร้เทียมทาน เข้าใกล้การป้องกันแชมป์เข้าไปทุกขณะ
โค้งสุดท้ายกับว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีก ที่ยังดูไม่ออก
อย่างไรก็ตามหากหันมาดูการลุ้นแชมป์ของลีกอันดับ 1 ของโลกอย่างศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล แต่ก็ยังดูไม่ออกว่าใครจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ในซีซั่นนี้ โดยถึงตอนนี้มี 3 ทีมที่กำลังไล่ล่าโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีก นั่นก็คือจ่าฝูงอย่าง อาร์เซนอล ของ มิเกล อาร์เตต้า ที่ผลงานร้อนแรงเกินห้ามใจชนะในลีกติดต่อกันมา 8 เกมเข้าไปแล้ว
โดยเกมนัดบิ๊กแมตช์ระหว่าง ลิเวอร์พูล ที่เปิดสนาม แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้ว่าอาจจะไม่ใช่เกมตัดสินแชมป์โดยตรง แต่ก็ถือเป็นเกมสำคัญที่ทั้ง 2 ทีมหวังคว้า 3 แต้ม เพื่อกุมความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล
เพราะว่ามันยังมีอีกหลายปัจจัยหลายตัวแปรสำหรับการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดแดนผู้ดีในซีซั่นนี้ และไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ เจอร์เก็น คล็อปป์ ได้นำทีมจะดวลกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มันก็จะเป็นการการันตีความมันส์ระดับ 5 ดาวแบบที่เรียกได้ว่าคนดูนั่งไม่ติดเก้าอี้อย่างแน่นอน
ก่อนเกมดูเหมือนว่า ลิเวอร์พูล จะมีปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นแกนหลักมากกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนผู้เล่นในบางตำแหน่ง ในขณะที่ เรือใบสีฟ้า มาในเวอร์ชั่นพร้อมเต็มอัตราศึก อย่างไรก็ตามพอเริ่มเกม ลิเวอร์พูล ก็ยังคงเป็น ลิเวอร์พูล ที่ไม่ว่าใครจะถูกส่งลงสนาม แต่รูปแบบและปรัชญาการเล่นยังคงเดิม อาจเพิ่มเติมหรือลดลงตามรายละเอียดและบุคคลิกของผู้เล่นแต่ละคนเท่านั้น
เกมนี้แม้ว่า หงส์แดง จะตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อนในครึ่งแรกจากการยิงของ จอห์น สโตน ซึ่งในห้องแต่งตัวช่วงพักครึ่ง ไม่มีใครรู้ว่า คล็อปป์ พูดอะไรกับนักเตะถึงกลับมาวิ่ง กลับสับกันตีนแตก วิ่งแหลกยิ่งกว่าครึ่งแรก แถมการได้จุดโทษในช่วงต้นครึ่งหลังของ หงส์แดง เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เพราะว่าแผนการของ เป๊ป ที่วางไว้ในครึ่งหลัง อาจต้องเสียกระบวนไปบ้าง จากการโดนตีเสมอ เท่านั้นยังไม่พอ เรือใบสีฟ้า ยังต้องเสียหาย 2 ต่อเนื่องจาก เอแดร์ซอน เล่นต่อไม่ไหวจากจังหวะทำเสียจุดโทษ
เกมอันสุดบ้าระห่ำ ลิเวอร์พูล 1-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ซึ่งนั่นอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลุ้นแชมป์ของ ซิตี้ เหมือนกัน เพราะฟุตบอลของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือการบิ้วอัพตั้งแต่ผู้รักษาประตู ดังนั้นการขาดหายไปของ เอแดร์สัน ก็อาจ ทำให้วิธีการบิ้วของ ซิตี้ เปลี่ยนไปได้เหมือนกันในช่วงท้ายฤดูกาล นอกเหนือจากนี้อีกหนึ่งจังหวะในช่วงท้ายเกมที่ผู้ตัดสิน ไมเคิล โอลิเวอร์ ปฏิเสธที่จะมอบจุดโทษให้เจ้าบ้าน จากจังหวะที่ เฌเรมี โดกู เล่นอันตรายยกเท้าสูงใส่ โคดี กัคโป แม้ว่าจะเช็ควีเออาร์แล้วก็ตาม
โดยหลังจบเกมกุนซือชาวเยอรมันของ ลิเวอร์พูล ก็ออกมาตำหนิการทำหน้าที่ของทีมงานผู้ตัดสินทั้ง ไมเคิล โอลิเวอร์ และทีมงานในห้อง VAR โดยระบุว่า
“มันเป็นจุดโทษ 100 เปอร์เซ็นต์ พวกเขาจะต้องหาคำอธิบาย มันฟาวล์ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเกิดตรงพื้นที่ใดในสนาม และอาจจะเป็นใบเหลืองด้วย ทุกคนที่มีไอแพดรอบตัวผมรู้สึกว่า ว้าว มันชัดเจน แต่เราไม่ได้รับมัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญสำหรับผมคือเราสามารถเล่นฟุตบอลแบบนั้นได้ วันนี้ผมเห็นฟอร์มอันน่าตื่นเต้นมากมาย”
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะพลาดโอกาสคว้า 3 แต้ม หลังจากที่มีโอกาสปลิดชีพใส่ ซิตี้ มากมายหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะโอกาสทองของ หลุยส์ ดิอาซ ที่พลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ตามหากมองไปที่ภัยคุกคามที่ปีกโคลอมเบียรายนี้เล่นงานใส่แนวรับ ซิตี้ ต้องบอกว่าลีลา การกระชาก ลากเลื้อย สะเด็ดสะเด่าเอามากๆ
นอกจากนี้ยังมีสถิติที่น่าสนใจของ ดิอาซ มาฝาก โดยเจ้าตัวยังคงรักษาสถิติไร้พ่ายในลีก ยามลงสนามให้ ลิเวอร์พูล ไว้ได้ต่อไปเป็นเกมที่ 30 (ชนะ 23 เสมอ 7) โดยสถิติของ ดิอาซ ก็คล้ายๆกับสถิติของ โรดรี้ มิดฟิลด์ของ ซิตี้ ที่ยังสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นเช่นกันจากการลงสนาม 61 (ชนะ 50 เสมอ 11)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งสุดท้ายระหว่าง คล็อปป์ VS เป็ป
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะพลาดโอกาสได้ประตูชัยหลายต่อหลายครั้ง ในเกมกับ ซิตี้ แถมยังเสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับ อาร์เซนอล แต่หากมองไปยังรูปเกมและการเข้าทำรวมไปถึงการสร้างสรรค์ต่างๆ หงส์แดง ยังคงอันตรายเหมือนเดิม โดยเกมที่ แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงถึง 19 ครั้ง ซึ่งมากที่สุดในการเจอกับ แมนฯ ซิตี้ ในเกมพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2013 ที่ตอนนั้นมีโอกาสจบไป 22 ครั้ง
อีกหนึ่งผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในสนาม และได้รับเลือกเป็น แมนออฟเดอะแมตช์ นั่นก็คือ วาตารุ เอ็นโด แข้งชาวญี่ปุ่นที่รับบทผู้ปิดทองหลังพระ ทำลายล้างเกมแดนกลางของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยสถิติของ วาตารุ เอ็นโด ในเกมปะทะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีดังต่อไปนี้
– สัมผัสบอล 67 ครั้ง
– ผ่านบอลแม่นยำ 96 %
– สร้างโอกาส 1 ครั้ง
– ผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้าย 3 ครั้ง
– สกัดบอล 2 ครั้ง
– ตัดบอลจากคู่แข่ง 2 ครั้ง
– แย่งบอลกลับมาครอง 6 ครั้ง
– ชนะการดวลตัวต่อตัว 85 %
– ชนะการดวลลูกโหม่ง 100 %
– ค่าเฉลี่ยการเข้าสกัดสำเร็จ 100 %
ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ เจอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาคุม ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2015 การดวลกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นคู่เอกของรายการมาโดยตลอด โดย คล็อปป์ นำทัพ หงส์แดง เจอกับ แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป ในเกมลีกมาแล้ว 16 ครั้ง ซึ่ง คล็อปป์ ชนะไป 4 เกม แพ้ไป 5 เกมและเสมออีก 7 เกม และรักษาคลีนชีตได้ 3 เกมด้วยกัน
ตัวแปรสำคัญ แอสตัน วิลล่า และ สเปอร์ส
ถึงตอนนี้เข้าสู่ช่วง 10 เกมสุดท้ายของฤดูกาล และมีถึง 3 ทีมที่ยังคงขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันอย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งแต่ละทีมก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไปในภาพรวม จ่าฝูงอย่าง อาร์เซนอล อย่างที่บอกไปว่าฟอร์มฮอตฮิตติดลมบนเหลือเกินชนะในลีกมา 8 เกมติดต่อกัน แถมยังเป็นทีมที่มีลูกได้-เสียดีที่สุด ทัพ ปืนใหญ่ ของ มิเกล อาร์เตต้า เป็นทีมที่ยิงประตูมากที่สุดถึง 70 ประตู และเสียประตูน้อยสุดที่ 24 ประตูเท่านั้น
ขณะที่รองจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล พวกเขามีแต้มเท่ากับ อาร์เซนอล แต่ประตูได้เสียเป็นรอง อย่างไรก็ตามหากมองไปที่เกมในบ้านของพวกเขา หงส์แดง แรงเหลือเกินด้วยการยังไม่แพ้ใครในบ้าน แถมยังยิงประตูในฐานะทีมเหย้าได้มากที่สุดในลีกด้วยจำนวนถึง 38 ประตู และเสียประตูน้อยที่สุดเพียง 12 ประตู ยามเล่นในถิ่น แอนฟิลด์ ของตัวเอง ดังนั้นตัวแปรสำคัญช่วงโค้งสุดท้าย
แน่นอนว่าก็คือโปรแกรมการแข่งขันที่เหลืออยู่ ซึ่งหากมองด้วยตาเปล่าก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่าทีมใดมีภาษีที่ดีกว่าในการเข้าป้ายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้
ฟุตบอลยุโรป อีกหนึ่งตัวแปรที่ 3 ทีมลุ้นแชมป์ยังไม่หมดภารกิจ
ตัวแปรแรกคือโปรแกรมในช่วง 10 เกมสุดท้าย จ่าฝูงอย่าง อาร์เซนอล โดยเป็นเกมในบ้าน 4 เกมและต้องออกเยือน 6 เกม และแน่นอนว่าเกมนัดที่น่าจะสำคัญที่สุดของซีซั่น ก็คือนัดต่อไปที่ทัพ ปืนใหญ่ จะต้องยกพลไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งถือเป็นการชี้ชะตาการลุ้นแชมป์กลายๆได้เหมือนกัน
โปรแกรมของ อาร์เซนอล ที่นอกจากจะต้องเจอกับ ซิตี้ แล้ว พวกเขายังมีโปรแกรมหนักรออยู่อีกหลายเกม ทั้งการเปิดบ้านรับมือ แอสตัน วิลลา รวมไปถึงบุกไปเยือนทีมคู่อริอย่าง ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ นอกจากนี้ยังมีเกมนัดตกค้างที่จะต้องบุกไปทำศึก ลอนดอน ดาร์บี กับ เชลซี ด้วย
ขณะที่อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญของ ปืนใหญ่ นั่นก็คือการลุยศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนสลีก ที่พวกเขามีโปรแกรมนัดสำคัญกับ เอฟซี ปอร์โต้ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 กลางสัปดาห์นี้ หลังจากที่เกมแรกบุกไปแพ้ยักษ์ใหญ่จากโปรตุเกสมาก่อน 0-1 ดังนั้นหาก ปืนใหญ่ ยังรักษาฟอร์มเช่นนี้ไว้ได้ต่อไป ก็มีโอกาสไม่น้อยที่ มิเกล อาร์เตต้า จะประกาศศักดาพา อาร์เซนอล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ
มากันที่รองจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล น่าเสียดายที่ไม่ได้ 3 แต้มจาก ซิตี้ แต่ถึงตอนนี้โอกาสการลุ้นแชมป์ของ หงส์แดง ก็มากพอๆกับ อาร์เซนอล เพราะอย่าลืมว่านัดต่อไป ปืนใหญ่ กับ เรือใบสีฟ้า ต้องมาตัดกันเอง ดังนั้นหากมองไปยังโปรแกรม 10 เกมที่เหลือของ ลิเวอร์พูล พวกเขาจะได้เล่นใน แอนฟิลด์ 5 เกมและต้องออกไปเยือน 5 เกม แถมโปรแกรมก็คล้ายๆกับ อาร์เซนอล
เพราะว่าต้องเจอกับทีมที่ลุ้นไปเล่นฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลหน้าไม่ว่าจะบุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเจอ สเปอร์ส และบุกไปเยือน แอสตัน วิลลา
ขณะที่โปรแกรมฟุตบอลยุโรปดูเหมือนว่าจะเป็นใจให้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เนื่องจากศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบ 16 สุดท้ายนัดแรก ลิเวอร์พูล บุกไปยำ สปาร์ตา ปราก ถึงสาธารณรัฐเช็ก 5-1 ดังนั้นเกมนัดที่ 2 จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะพักผู้เล่นตัวหลัก เพื่อประคองความสดเอาไว้ลุ้นแชมป์ในช่วงท้ายฤดูกาล
ส่วนอันดับ 3 ที่พร้อมจะโผล่มาครองจ่าฝูงได้ทุกเมื่ออย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สถานการณ์ในฟุตบอลยุโรปก็คล้ายๆกับ ลิเวอร์พูล เพราะว่าในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนสลีกลูกทีมของ เป็ป กวาร์ดิโอล่า ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงได้เปรียบ อาร์เซอล เล็กน้อยในเรื่องของความสด ก่อนการพบกันในนัดต่อไป
ขณะที่โปรแกรมในลีกของ ซิตี้ ก็ไม่ต่างอะไรจาก 2 ทีมหัวตาราง เพราะว่าเกมที่น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญ ก็คือการเจอกับ 2 ทีมที่กำลังขับเคี่ยวแย่งชิงพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า ไม่ว่าจะเป็นการเปิดรัง เอติฮัต สเตเดียม รับการมาเยือนของ แอสตัน วิลล่า รวมไปถึงเกมที่ต้องออกไปเยือน สเปอร์ส ด้วย
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค