เรียกได้ว่า ดราม่าซ้อนดราม่า ของจริงสำหรับการแข่งขันฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปเอาชนะดวลจุดโทษเหนือ อาร์เซน่อล ได้แบบสุดมันส์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยตลอด 90 นาที สกอร์เสมอกัน 1-1 ท่ามกลางจังหวะสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การถูกไล่ออกของ ดิโอโก ดาโลต์ การมอบจุดโทษปริศนาให้กับทัพ ปืนใหญ่ รวมทั้งการพลาดโอกาสทำประตูมากมายของ ไค ฮาร์แวร์ต
บายินดีร์ เซฟระเบิด แจ้งเกิดกับ ปีศาจแดง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานการเซฟประตูของ อัลตาย บาร์ยินดี นายด่านมือ 2 ของ แมนฯยู ที่สวมบทฮีโร่ เซฟประตูมือเป็นระวิง ทั้งจุดโทษของ มาร์ติน โอเดการ์ด ในช่วงเวลาปกติ และลูกเซฟในต่อเวลาพิเศษ รวมทั้งการเซฟจุดโทษของ ไค ฮาร์แวร์ต จนทำให้ ปีศาจแดง ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ในรายการ เอฟเอ คัพ ต่อไป พร้อมกับคว้ารางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์
สำหรับ อัลตาย บายินดีร์ เพิ่งจะกลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกในพรีเมียร์ลีก ที่มีสถิติ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2013-14 ที่สามารถเซฟจุดโทษได้ทั้งในช่วงปกติและช่วงดวลจุดโทษ หลังจบเกม บายินดีร์ กล่าวเปิดใจถึงการเป็นฮีโร่ของทัพ ปีศาจแดง ว่า “ผมอยากทำให้ทุกคนมีความสุขเพื่อสโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ผมทำงานที่นี่ทุกวัน ถ้าคุณไม่ได้ลงเล่นก็ไม่เป็นไร คุณต้องพร้อมทุกนาที ทุกวินาที หากคุณเป็นผู้เล่นของแมนฯ ยูไนเต็ด คุณต้องพร้อมเสมอ”
อย่างไรก็ตามท่ามกลางความชื่นใจ ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เหล่า สาวก ปีศาจแดง ต้องลุ้นกันต่อ นั่นก็คือโอกาสในการถูกลงโทษย้อนหลังของ มานูเอล อูการ์เต้ หลังมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ความวุ่นวาย จากการที่เหล่านักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่พอใจคำตัดสินที่ผู้ตัดสินมอบจุดโทษให้ อาร์เซนอล จากจังหวะที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ สะกิด ไค ฮาเวิร์ตซ์ ล้มลงในเขตโทษ
แฟนผีลุ้น อูการ์เต้ ส่อโดนเล่นย้อนหลัง
โดย แม็กไกวร์ เข้าไปต่อว่า ฮาเวิร์ตซ์ จากนั้นก็มีการชุลมุนของนักเตะทั้ง 2 ทีม โดยเฉพาะ อูการ์เต้ ที่เอาหัวไปดันหัวของดาวเตะชาวเยอรมัน จนล้มลงไปกองกับพื้น แต่สุดท้าย อูการ์เต้ ก็รอดพ้นจากการโดนใบเหลือง ในขณะที่ VAR ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในรอบ 3 และ 4 ของศึก เอฟเอ คัพ อย่างไรก็ตาม อูการ์เต้ อาจโดนแบน 3 นัด หากการกระทำของเขาถูกพิจารณาว่าเป็นพฤติกรรมที่รุนแรง โดยหลังจบเกม อูการ์เต้ โพสต์ภาพลงบนโซเชียลมีเดียพร้อมแคปชั่นว่า “เมื่อเราได้บอล มันคือเกม แต่เมื่อไม่มีบอล มันก็คือการต่อสู้”
โดยเกม เอฟเอ คัพ ระหว่าง อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นอกจากความเข้มข้นในเกมแล้ว มันยังมีมุมมองเชิงแท็กติกจากกุนซือทั้งสองฝ่าย โดยรูปเกมที่ออกมาเป็นทางฝั่ง อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า ที่ยังคงเน้นการเล่นแบบเน้นการครองบอลและสร้างโอกาสในพื้นที่สุดท้าย
ด้วยตัวริมเส้นสัญชาติบราซิเลียนทั้งสองฝั่ง ไม่ว่าจะเป็น กาเบรียล เชซุส ทางกราบซ้าย รวมทั้ง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ทางกราบขวา สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับคู่แข่ง แต่ความเฉียบขาดในจังหวะสุดท้ายยังต้องปรับปรุง
อาร์เตต้า รับ ปืนใหญ่ ไร้กระสุน ยิงผีไม่มีเข้า
สถิติที่น่าสนใจ อาร์เซน่อล การครองบอลสูงถึง 62 เปอร์เซนต์ นั่นแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการคุมเกม จำนวนการจ่ายบอลสำเร็จมากกว่า 500 ครั้ง โดยเฉพาะจากแผงมิดฟิลด์ที่มีบทบาทสำคัญ สร้างโอกาสจบสกอร์ได้ถึง 15 ครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นประตูเพียง 2 ประตูเท่านั้น โดยหลังจบเกม มิเกล อาร์เตต้า ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับว่ารู้สึกผิดหวัง เพราะจะมีแค่ 1 ใน 1,000 เท่านั้นที่ทีมของตนจะแพ้ในเกมแบบนี้ โดยกล่าวว่า
“มันน่าเหลือเชื่อมากๆ หากเรามองที่ฟอร์มการเล่นและสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมนี้ เราสมควรเอาชนะในเกมนี้ได้แบบไม่ยาก แต่ความจริงก็คือเราเป็นฝ่ายตกรอบ ผมรักนักเตะของผมทุกคน ผมรู้ว่าพวกเขาเก่งแค่ไหนเพราะ 1 ใน 1,000 เกม จะมีสักครั้งที่พวกเขาจะแพ้ในเกมแบบนี้ คุณจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน มันคือส่วนหนึ่งในความพยายามในการเล่นของเรา และเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป”
ซาก้า เจ็บส่งเอฟเฟ็คสู่ อาร์เซน่อล
สำหรับจุดเปลี่ยนของทัพ ปืนใหญ่ ก็น่าจะเริ่มมาจากการที่ บูกาโย่ ซาก้า ได้รับบาดเจ็บแฮมสตริง หรือกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง จากเกมที่ อาร์เซนอล บุกถล่ม คริสตัล พาเลซ 5-1 เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากนั้นดูเหมือนว่าแนวรุกของ อาร์เซน่อล จะติดๆขัดพอสมควร โดยนับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นมา อาร์เซน่อล ชนะเพียงเกมเดียวจากการลงสนาม 4 เกม แถมไม่ชนะใครมาแล้ว 3 เกมติดต่อกัน
ทั้งนี้ ทอล์กสปอร์ต ระบุว่า ดาวเตะวัย 23 ปีที่ยิงไป 9 ประตูกับอีก 13 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 24 นัดทุกรายการ จะพลาดลงสนามให้ ปืนใหญ่ ไปจนถึงเดือน ก.พ. 2025 เป็นอย่างน้อย และสิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือ ซาก้า เจ็บแฮมสตริงเป็นครั้งที่ 3 เข้าไปแล้วในซีซั่นนี้ แถม 2 เกมต่อไป อาร์เซน่อล ก็จะดวลกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง สเปอร์ส ต่อด้วยการรับมือ แอสตัน วิลล่า
ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม ก็มีการปรับแผนการเล่นที่ยืดหยุ่น โดยใช้การสวนกลับเร็วและการเล่นเกมรับอย่างมีวินัย โดยประตูออกนำ มาจากการประสานงานที่ยอดเยี่ยมของแดนกลางและแนวรุก สถิติที่ออกมา ปรากฏว่า ยูไนเต็ด ใช้จังหวะสวนกลับเพียง 8 ครั้ง แต่มีประสิทธิภาพสูง แสดงให้เห็นถึงเกมรับที่เหนียวแน่นด้วยการการบล็อกลูกยิงได้ถึง 6 ครั้ง
บายินดีร์ เซฟยับดับ ปืนใหญ่
โดยเฉพาะผู้รักษาประตูมือสองอย่าง อัลตาย บายินดีร์ ที่มีเซฟสำคัญอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ทั้งการปฏิเสธจุดโทษของ มาร์ติน โอเดการ์ด รวมถึงลูกโหม่งและจังหวะสับไกของ ดีแคลน ไรซ์ ในช่วงท้ายจากรูปเกมที่เกมที่ออกมาจะเห็นได้ว่า ทั้งสองทีมต่างพยายามเน้นจุดแข็งของตัวเอง แต่สุดท้ายจังหวะเฉียบขาดในพื้นที่สุดท้ายกลายเป็นปัจจัยชี้ขาด
อโมริม ปรับมาใช้แผนการเล่น 3-4-3 ซึ่งสร้างความสมดุลระหว่างเกมรุกและรับ การวางตำแหน่งตัวรับที่เน้นการบทบาทการตัดเกมของมิดฟิลด์อย่าง มานูเอล อูการ์เต้ และ ค็อบบี้ เมนู เพื่อช่วยลดโอกาสของ อาร์เซน่อล โดยหลังจบเกม อโมริม กุนซือ ให้สัมภาษณ์ยกย่องลูกทีมที่ช่วยกันสู้อย่างเต็มที่ แม้จะเหลือผู้เล่นน้อยกว่า ก่อนผ่านเข้ารอบต่อไปว่า
“ต้องขอบคุณที่นักเตะที่สู้ไปกับเรา บางครั้งเราไม่ได้คุยกันเรื่องแท็กติก หรือ เทคนิคอะไรเลยก่อนเกม แต่เราคุยกันเรื่องนี้ เราต้องสู้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร และวันนี้เราสู้ ผมรู้สึกตั้งแต่นาทีแรกเลยว่าวันนี้เป็นวันของเรา วันนี้เราสมควรเป็นผู้ชนะ อาร์เซนอล ไม่สมควรแพ้ก็จริง แต่เราก็สมควรชนะ”
แนวทางการเล่นและวิธีที่เราต่อสู้นั้นยากมากๆ ตั้งแต่เริ่มเกมเราคุมเกมได้โดยไม่มีบอล เราแสดงให้เห็นถึงคาแร็กเตอร์ และนั่นเป็นสิ่งสำคัญมาก เราเจอกับทีมที่ยอดเยี่ยม และมันไม่ใช่เพียงแค่ 90 นาที มันมากกว่านั้น และคุณรู้สึกได้เลยว่านักเตะเหนื่อยล้าอาร์เซน่อล คอนโทรลบอลได้ตลอดเวลา มันคือความเสียสละของลูกทีม แต่เราก็คู่ควรกับการผ่านเข้ารอบเพราะการรับมือกับปัญหาร่วมกัน”
อโมริม ปลุกเสก แม็คไกวร์ เกิดใหม่
ในเกม เอฟเอ คัพ กับ อาร์เซนอล การทำหน้าที่ของ แม็คไกวร์ กลายเป็นจุดสนใจที่ทั้งแฟนบอลและนักวิจารณ์ต่างให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเขาได้รับโอกาสในการลงสนามในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน ซึ่งเกมดังกล่าวเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ แม็คไกวร์ ที่จะพิสูจน์ตัวเองหลังจากผลงานที่ถูกวิจารณ์ในช่วงก่อนหน้านี้
ตัวเลขของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ในเกมอเอฟเอคัพ กับอาร์เซนอล มีการสัมผัสบอล 50 ครั้ง ,พาบอลขึ้นหน้า และชนะในการดวลลูกกลางอากาศแบบ 100 เปอร์เซนต์,ชนะการดวลตัวต่อตัว 75 เปอร์เซนต์ ,เคลียร์จังหวะอันตราย 11 ครั้ง ,บล็อคลูกยิงคู่แข่งได้ 5 ครั้ง ตัดบอลได้ 4 ครั้ง แถมไม่ถูกคู่แข่งเลี้ยงผ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งนับเป็นสถิติที่ดีมากๆสำหรับกองหลังตัวกลาง ที่เรียกว่ากลับมาเกิดใหม่ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม ในระบบ 3-4-3 หรือ 3-4-2-1
แม็คไกวร์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรับมือกับแรงกดดันในบางจังหวะ เขาแสดงความแข็งแกร่งในลูกกลางอากาศ ซึ่งยังคงเป็นจุดเด่นสำคัญของเขา การตัดบอลและเคลียร์บอลในสถานการณ์ที่กดดันช่วยลดความเสี่ยงในแดนหลังได้ดีในบางจังหวะ อย่างไรก็ตาม เขายังมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจในบางสถานการณ์
อย่างไรก็ตามก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะเรียกฟอร์มเก่งกลับมา หากเขาสามารถพัฒนาจุดอ่อนที่กล่าวมาข้างต้นได้ ยังมีโอกาสที่เขาจะกลับมาเป็นกำลังสำคัญของทีมได้ในอนาคต โดยเฉพาะในยุคของ รูเบน อโมริม
เกมนี้สะท้อนให้เห็นถึงความความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น ความเฉียบคมในการจบสกอร์ และการป้องกันจังหวะสำคัญ ที่กลายเป็นตัวชี้ขาด ซึ่งนอกจากจะเป็นตัววัดศักยภาพของทั้ง 2 ทีมในปัจจุบันแล้ว มันยังส่งสัญญาณถึงทิศทางการพัฒนาของพวกเขาในอนาคตด้วย
สำหรับผลการจับสลากประกบคู่ เอฟเอ คัพ รอบ 4 หรือรอบ 32 ทีมสุดท้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะแชมป์เก่าจะพบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มี รุด ฟาน นิสเตลรอย อดีตกองหน้าของ แมนฯ ยู และอดีตมือขวาของ เอริค เทน ฮาก คุมทีมอยู่ในเวลานี้ โดยจะทำการแข่งขันกันในระหว่างวันที่ 7-10 กุมภาพันธ์ นี้
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค
