หากจะเอ่ยถึงนักเตะตีนระเบิดสัก 1 คน ที่เป็นที่ยอมรับและประสบความสำเร็จในระดับสูงมากมาย จนกลายเป็นไอดอลของใครหลายๆคน รวมทั้งยังตำนานของทีมชาติบราซิล กับคาแรคเตอร์พลังเท้าซ้ายอันโดดเด่น แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึง โรแบร์โต้ คาร์ลอส ดา ซิลวา โรชา หรือที่รู้จักในนาม โรแบร์โต้ คาร์ลอส อดีตแบ็กซ้ายทีมชาติบราซิล เจ้าของลูกยิงฟรีคิกในตำนานอย่าง บานาน่า ชู้ต
จุดกำเนิด ซ้ายตีนระเบิด
โรแบร์โต้ คาร์ลอส เกิดที่เมืองการ์ซ่า ในรัฐเซา เปาโล ตอนเป็นเด็ก คาร์ลอส เคยทำงานโรงงานเสื้อผ้าเมื่อตอนอายุ 12 ขวบและเล่นฟุตบอลข้างถนนไปด้วย จนกระทั่งได้รับโอกาสเข้าสู่สาระบบอคาเดมี่ของ ยูนิเอา เซา ชูเอา ด้วยวัย 18 ปี ซึ่งหลังจากนั้น คาร์ลอส ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการอันโดดเด่น ในระหว่างถูกยืมตัวไปที่ แอตเลติโก มิเนโร่ จนถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในอีก 3 ปีต่อมา หรือในปี 1991 หลังหมดสัญญากับ ยูนิเอา เซา ชูเอา
คาร์ลอส ได้รับโอกาสย้ายไปทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง พัลไมรัส และทำผลงานได้อย่างโดดเด่นตลอด 2 ฤดูกาลที่อยู่กับทีมแห่งนี้ พร้อมกับมีรายงานตามมาว่า คาร์ลอส เกือบจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ แอสตัน วิลล่า ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ณ เวลานั้นด้วย
แม้ว่าโชคชะตาจะไม่ได้รังสรรค์ให้เด็กหนุ่มจากบราซิลมีสรีระที่กำยำ เพราะ คาร์ลอส มีส่วนสูงเพียง 168 เซนติเมตรเท่านั้น แต่พระเจ้าก็ประทาน เท้าซ้ายอันทรงพลังมาให้กับ คาร์ลอส เป็นการทดแทน คาร์ลอส ถือเป็นแบ็กซ้ายที่ตัวเล็กมากหากเทียบกับนักเตะคนอื่นในตำแหน่งเดียวกัน หากมองกันที่ส่วนสูง คาร์ลอส อาจจะเสียเปรียบแบ็คซ้ายทุกคนในโลก แต่หากมองไปที่กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่อง คาร์ลอส จัดได้ว่าเป็นแข้งน่องโตคนหนึ่งของวงการในยุคนั้นเลยทีเดียว
เรื่องที่หลายคนไม่รู้ของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส
อีกหนึ่งเรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้ ฉายาของ คาร์ลอส คือ “El Hombre Bala” เอล ฮอมเบร บาลา หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “ไอ้มนุษย์กระสุน” โดยมีที่มาจากความเร็ว และพลังในยิงดั่งช้างสารนั่นเอง นอกจากนี้ยังเคยมีการเปิดเผยพบว่ารอบขาซ้ายของ คาร์ลอส เคยมีเส้นรอบวง 66 เซนติเมตร ส่วนขาขวาจะใหญ่ขึ้นมาหน่อยที่ 68 เซนติเมตร ซึ่ง คาร์ลอส เปิดเผยเหตุผลที่ขาขวาดันไปใหญ่กว่าขาซ้ายว่า
เพราะขาขวาเป็นข้างที่เขาเอาไว้หยุดการวิ่ง วางเท้า รวมไปถึงการเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งหากสังเกตจากเวลาที่เขาเดินขึ้น-ลงบันได คาร์ลอส จะออกแรงเน้นไปที่ขาขวา ส่วนขาซ้ายของเขา เอาไว้เพิ่มแรง และเป็นประโยชน์ตอนยิงประตู
ส่วนเรื่องจุดเด่นในการยิงประตู โดยเฉพาะจากฟรีคิก ที่สร้างประตูสวยๆมาแล้วอย่างมากมาย คาร์ลอส บอกว่า เกิดมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก และไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์แบบเพียวๆแต่อย่างใด
“ความแข็งแกร่งของทุกคน ย่อมเกิดมาจากตัวเอง แน่นอนว่า ผมฝึกซ้อมในทุกวัน ผ่านการวางบอลตามจุด และระยะต่างๆ เพื่อให้เกิดเป็นความเคยชิน การฝึกซ้อมอย่างหนักเหล่านั้นเอง ถือเป็นสาเหตุที่ผมสามารถที่จะยิงบอลได้ทุกระยะ ไม่ว่าจะเป็นจากระยะใกล้ หรือระยะไกล นี่คือหนึ่งในเคล็ดลับของความสำเร็จ”
“ตลอดระยะเวลาในเส้นทางของผม หลังจากการฝึกซอมเสร็จ ผมมักจะออกไปซ้อมพิเศษด้วยตัวเองเสมอ การซ้อมแบบพิเศษ อาจจะกินเวลาประมาณ 30-40 นาที การซ้อมแบบพิเศษของผม ผ่านการยิงบอลในลักษณะต่างๆ นี่คือการสร้างความคุ้นเคย และเพิ่มเทคนิคของตัวเองให้ดีขึ้น”
ปัญหาสารพัด ครั้งแรกกับผจญภัยในลีกยุโรป
โรแบร์โต้ คาร์ลอส มีความสามารถพิเศษเหนือกว่านักเตะคนอื่น ด้วยลูกยิงฟรีคิกที่เป็นฝันร้ายของผู้รักษาประตูมากมาย ตั้งแต่สมัยเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกกับ ยูนิเอา เซา ชูเอา สโมสรท้องถิ่นย่านบ้านเกิดของตัวเอง กระทั่งปี 1995 คาร์ลอส ตัดสินใจตามหาความผจญภัยในยุโรปด้วยการย้ายจาก พัลไมรัส ไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แม้ว่าในเวลาเดียวกันเจ้าตัวจะได้รับการทาบทามจาก เซา เปาโล สโมสรยักษ์ใหญ่ในบราซิลก็ตาม
การผจญภัยในยุโรปครั้งแรก นอกจากปัญหาที่จะต้องเจออย่างเรื่องการสื่อสารแล้ว คาร์ลอส ยังถูกกุนซือชาวอังกฤษ ณ เวลานั้นอย่าง รอย ฮอดจ์สัน จับ คาร์ลอส ตระเวนไปเล่นในตำแหน่งอื่นๆที่ไม่ใช่ฟูลแบ็ค ทั้งปีก
และกองหน้าคู่ในระบบ 3-5-2 ซึ่งนั่นทำให้ คาร์ลอส ไม่สามารถปรับตัวได้กับบทบาทที่ ปู่รอย มอบหมายให้ จนต้องเข้าไปคุยกับ มัสซิโม โมรัตติ เจ้าของ งูใหญ่ เพื่อขอย้ายทีมและก็เป็น ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ที่ได้ตัวดาวเตะร่างเล็กรายนี้ไปร่วมทีมในปี 1996 โดย คาร์ลอส ฝากผลงานกับ เนรัซซูรี่ เอาไว้ที่ 37 นัด 5 ประตู
ลืมฝันร้ายกับ งูใหญ่ เริ่มต้นเส้นทางตำนานกับ ราชันชุดขาว
หลังจากที่ คาร์ลอส ย้ายไปค้าในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เจ้าตัวก็ได้รับโอกาสลงเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้ายที่ถนัดและค่อยๆสร้างผลงานจนกลายเป็นตำนานของ เรอัล มาดริด และเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในโลกในยุคหนึ่งมาแล้ว
และเพียงฤดูกาลแรกของคาร์ลอสในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เจ้าตัวก็สามารถคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน มาครองได้ทันทีกับผลงาน การลงสนาม 42 เกมยิง 5 ประตูรวมทุกรายการ แถมในปีเดียวกัน คาร์ลอส ยังคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา กับทีมชาติบราซิล รวมทั้งผงาดซิวแชมป์คอนเฟเดอร์เรชั่น คัพ ด้วย
ซึ่งนั่นทำให้ โรแบร์โต้ คาร์ลอส กลายเป็นแบ็คซ้ายตัวท็อปของทวีปยุโรปไปในทันที ซีซั่นถัดมา คาร์ลอส ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ เรอัล มาดริด ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการเฉือนเอาชนะ ยูเวนตุส 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม เมื่อปี 1998
ในช่วงยุค 2000 เรียกได้ว่าเป็นช่วงปีของ คาร์ลอส เลยก็ว่าได้ โดยเจ้าตัวโด่งดังเป็นพลุแตกประสบความสำเร็จกับ ราชันชุดขาว มากมายด้วยการคว้าแชมป์ลาลีกา 4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 ครั้ง และสโมสรโลกอีก 2 ครั้ง พร้อมกับจารึกสถิติการลงสนาม 527 นัด ยิง 69 ประตูกับ 11 ฤดูกาล ในยูนิฟอร์มสีขาวของ เรอัล มาดริด
หนึ่งในสมาชิกแก็งค์ กาลาคติกอส
โดยเฉพาะในยุค กาลาคติกอส ในช่วงราวๆปี 2001 คาร์ลอส มีโอกาสร่วมงานกับซูปเปอร์สตาร์มากมายทั้ง ซีเนดีน ซีดาน ราอูล กอนซาเลซ เดวิด เบ็คแฮม โดยเฉพาะกับการร่วมงานกับ หลุยส์ ฟิโก้ อดีตคู่ปรับที่เคยอยู่กับ บาร์เซโลน่า ก่อนจะย้ายมาร่วมชายคา ร่วมงานกันที่ถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว โดย ฟิโก้ คือผู้เล่น คาร์ลอส ยกย่องว่าอันตรายที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาเคยเจอมา ดังนั้นการได้มาอยู่ทีมเดียวกัน ก็น่าจะทำให้ คาร์ลอส อุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย
“คู่แข่งที่ผมหวาดหวั่นในที่สุดน่าจะเป็น หลุยส์ ฟิโก้ สมัยเขาอยู่ บาร์เซโลนา คือแบบว่าเขาเก่งมาก ผมเอาอยู่บ้าง-ไม่อยู่บ้าง พอเขาย้ายมา มาดริด ก็นึกว่าจะสบายแล้ว แต่กลับต้องมาโดนเล่นงานในสนามซ้อมอีก”
คาร์ลอส ที่เป็นหนึ่งในสมาชิก กาลาคติกอส ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นหนที่ 2 ในปี 2000 หลังชนะ บาเลนเซีย 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะมาป้องกันแชมป์ บิ๊กเอียร์ ได้ในอีก 2 ปีต่อมาด้วยการ ชนะ เลเวอร์คูเซ่น 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ เรียกได้ว่าเป็นแชมป์ 3 ครั้ง ในรอบ 4 ปี หลังจากหมดสัญญากับ มาดริด ในปี 2007 คาร์ลอส ในช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตการค้าด้วยการตระเวนเล่นไปทั่วโลกทั้งกับ เฟเนห์บาห์เช่ ในตุรกี ,โครินเธียนส์ ในบราซิล ,อันชิ มาคัชคาล่า ในรัสเซีย รวมไปถึงในทวีปเอเชียเป็นช่วงสั้นๆกับ เดห์ลี ไดนามอส ในอินเดีย
แบ็คซ้ายที่ดีที่สุดตลอดกาลของบราซิล
ขณะที่ผลงานการรับใช้ทีมชาติอย่างทัพ แซมบ้า ทีมชาติบราซิล ของพ่อแข้งน่องโตรายนี้ เส้นทางของเจ้าตัวโผล่พรวดจากทีมชุด U23 ขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ภายในปีเดียว และในปี 1998 คาร์ลอส ก็คือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ บราซิล ไปได้ไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก ปี 1998 ที่ฝรั่งเศส
แม้ว่าจะจบเพียงแค่รองแชมป์โลกก็ตาม 4 ปีต่อมาในศึก เวิลด์ คัพ 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ คาร์ลอส เป็นส่วนสำคัญในการพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์โลก ด้วยการเอาชนะ เยอรมัน ในรอบชิงชนะเลิศ 2-0 แถมยังได้รับการเลือกให้เป็น รองนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกในปีนั้นด้วย ขณะที่ในศึกฟุตบอลโลก 2006 เขาและทีมชาติบราซิล ไปได้ไกลสุดแค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น
หนึ่งในจุดเด่นของเขา ที่กลายเป็นภาพจดจำของคนทั่วไป นั่นคือเท้าทั้งสองข้างที่ทรงพลัง โดยเฉพาะส่วนของเท้าซ้ายข้างถนัด ที่ยิงบอลได้อย่างหนักหน่วง และรุนแรงมาก โดยสร้างความอันตรายต่อคู่แข่งมาหลายต่อหลายครั้ง และแปรเปลี่ยนเป็นประตูหลายต่อหลายหน โดยเฉพาะลูกฟรีคิกลูกในตำนานที่ยังถูกกล่าวขาน
และพูดถึงจนทุกวันนี้ ในยุคหนึ่งใครก็ตามที่ยิงติดไซด์ก้อย มักจะถูกเพื่อนๆอำกันว่า โรแบร์โต้ คาร์ลอส เพราะสไตล์การยิงฟรีคิกไซด์ก้อยที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีใครเหมือน จึงทำให้ คาร์ลอส เป็นนักเตะผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของวงการลูกหนังยุคนั้นเลยทีเดียว
บานาน่า ชู้ต ฟรีคิกในตำนาน เครื่องหมายการค้า โรแบร์โต้ คาร์ลอส
สำหรับฟรีคิกในตำนานที่ว่าเกิดขึ้นในเกมนัดกระชับมิตรพบกับฝรั่งเศสเมื่อปี 1997 ซึ่งในเกมนั้น คาร์ลอส ตะบันฟรีคิกไกลเกือบ 40 หลา ตอนแรกบอลทำท่าจะหลุดกรอบออกไปไกลถึงมุมธง แต่มันดันตีโค้งเข้าไปเสียบตาข่ายชนิดที่ผู้รักษาประตูทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ
ซึ่งการที่เรียกลูกยิงดังกล่าวว่า บานาน่า ชู้ต นั่นก็เพราะว่าเส้นทางของมันก่อนถึงประตูคล้ายกับความโค้งของกล้วยหอมนั่น หลังจากประตูดังกล่าวเกิดขึ้นมีการพูดถึงความมหัศจรรย์ของลูกยิงนี้มากมาย และมันน่าจะเป็นอีกหนึ่งชอตที่ทำให้ คาร์ลอส กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกด้วย
ในปี 2010 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส 4 คน ประกอบด้วย กิโญม ดูโปซ์, แอนน์ เลอ กอฟฟ์, ดาวิด เกอร์ และคริสโตฟ กลาเนต์ ได้ร่วมกันทดลอดหาคำตอบลูกฟรีคิกมหัศจรรย์นี้ พวกเขาตั้งสมมติฐานและทำการทดลองหลากหลายก่อนจะพบคำตอบ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสารฟิสิกส์เมื่อเดือนกันยายน 2010 คำตอบที่พบอธิบายแบบง่ายๆคือมันเป็นเรื่องของ “แรง กับ “ระยะทาง” โดยเฉพาะอย่างหลังที่สำคัญมาก เพราะด้วยระยะทางในการยิงที่ประมาณ 35 เมตร มันมากพอที่จะทำให้ “เส้นโคจร” ของบอลไม่สามารถคาดเดาได้
ลูกยิงของ คาร์ลอส ที่วิ่งซอยเท้าก่อนอัดด้วยอีซ้ายตั้งใจยิงไซด์ก้อยเต็มๆ ด้วยแรงที่กระทบบอล จุดกระทบ ด้วยระยะทางที่มากพอ ทำให้การเดินทางของบอลแหวกอากาศและเดินทางเป็นเส้นโค้งแบบที่เราได้เห็นกัน ในทางวิทยาศาสตร์แล้วเรียกกันว่า Magnus Effect โดยลูกยิงของ คาร์ลอส เคยถูก บันทึกไว้ว่ามีความเร็วและแรง ถึง 120-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้ใกล้เคียงลูกยิงของเขา
“ผมขอสารภาพนะ ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเข้าได้ไง เพราะลูกนี้ผมอัดเต็มหลังเท้าและวิถีบอลก็ไม่ได้ตรงกรอบอะไรเลย แต่แล้วจู่ ๆ มันก็เลี้ยวเข้าเสียบตาข่ายไปแบบสุดงง ใช่เลย ผมเองยังไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นประตู เพราะนี่คือเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ และมันคือทำได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีวันเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน555”
สำหรับผลงานด้านการเป็นโค้ชของ คาร์ลอส เจ้าตัวเคยเป็นสต๊าฟฟ์แอนด์เพลย์เยอร์ ในสมัยที่เล่นให้กับ อันชิ มาคัชคาล่า ในรัสเซีย ก่อนมารับงานอย่างจริงจังครั้งแรกกับ ซิวาสสปอร์ และ อัคฮิซาร์สปอร์ ในตุรกี รวมไปถึง เดลี ไดนามอส เป็นช่วงสั้นๆเป็นงานสุดท้ายในการคุมทีม
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค