ย้อนกลับไปเมื่อราว 22 ปีที่แล้ว กับศึกฟุตบอลโลก ครั้งแรกในประวัติสาสตร์ที่ถูกจัดขึ้นในทวีปเอเชีย โดยมีญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วมกัน และหากจะกล่าวถึงแก็งค์แนวรุกที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ณ เวลานั้น
ก็คงจะหนีไม่พ้นแนวรุกของทีมชาติบราซิล ภายใต้โค้ดไม่ลับอย่าง 3R ที่มี หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ คุมทีม ซึ่งที่มาของโค้ด 3R ก็มาจากทหารเสือของทัพ เซเลเซา ที่มีอักษรตัวแรกขึ้นต้นด้วย R ทั้ง 3 คน ประกอบไปด้วย โรนัลโด้ ยอดกองหน้าแห่งยุค ,โรนัลดินโญ่ ที่อัพเลเวลขึ้นมาเป็นจอมทัพ รวมทั้ง ริวัลโว พี่ใหญ่ในกลุ่มแนวรุก 3R ของ บิ๊กฟิล
นี่คือตำนาน 3 ประสานที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลก และแม้จะเล่นเกมรุกกันแค่ 3 คน แต่ด้วยพรสวรรค์ และเซนส์ฺฟุตบอลของคนบ้านเดียวกัน จึงทำให้แก็งค์ 3R มีการประสานงานที่ยอดเยี่ยม แถมยังไม่ทิ้งความสวยงามแบบฉบับแซมบ้า ความเข้าใจเกมและหน้าที่ของแต่ละคนสูงมาก แถมยังมีความสามารถเฉพาะตัว ที่สามารถสร้างความได้เปรียบให้กับทีมจากการเลี้ยงกินตัวด้วย
แก็งค์ 3R รวมพลอาละวาดพาแซมบ้าคว้าแชมป์โลก
ท้ายที่สุด บราซิล คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ไปครองในศึก เวิลด์คัพ ฉบับเอเชีย ด้วยสถิติชนะรวด 8 เกม ขณะที่ผลงานของแก๊งค์ 3R ก็ถือว่ากลายเป็นอาวุธหนักของทัพ เซเลเซา เพราะผลงานของพวกเขาโดดเด่นเอามากๆ ในทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าว โดย โรนัลโด้ ยิงไป 8 ประตูคว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง ขณะที่ โรนัลดินโญ่ ยิงไป 2 ประตูแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะฟรีคิกปลิดวิญญาณที่เขี่ย ทีมชาติอังกฤษ ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ส่วนผู้เล่นในตำนานที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้อย่าง ริวัลโด้ ก็ยิงไปถึง 5 ประตู ในรายการฟุตบอลโลกหนนั้น ซึ่งแข้งรายนี้ผ่านประสบการณ์ค้าแข้ง และคำด่าทอต่างๆนานามาอย่างโชกโชน จึงไม่แปลกที่ชั่วโมงบินและประสบการณ์ของ ริวัลโด้ คือสิ่งที่ตอบโจทย์การคุมทีมของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี ในการไล่ล่าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ของทีมชาติบราซิล
ริวัลโด้ เป็นนักเตะที่เกิดในชุมชนยากจนของเมือง เปาลิสตาโน โดยแม้ว่าในวัยเด็กเขาจะมีรูปร่างที่ค่อยข้างผอม แต่ทักษะทางฟุตบอลและการใช้เท้าซ้ายของเขาถือว่ายอดเยี่ยมมาก ริวัลโด้ ชอบเล่นฟุตบอลเท้าเปล่ามาก โดยมี เปเล่ และ ดิเอโก มาราโดนา เป็นไอดอล ริวัลโด้ มักเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในกลุ่มเสมอ มีการครองบอลที่เหนียวแน่นและยิงประตูได้รุนแรง
ทั้งที่มีรูปร่างผอมบาง และด้วยพรสวรรค์ด้านฟุตบอลและความสามารถที่โดดเด่น รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองและโค้ชท้องถิ่น ส่งผลให้ ริวัลโด้ ได้รับโอกาสเข้าสู่สารบบลูกหนังของ ซานตา ครูซ สโมสรอาชีพ ในวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น
ลีก บราซิล เล็กเกินไปสำหรับ ริวัลโด้
หลังจากเก็บเลเวลกับ ซานตา ครูซ ได้ 2 ปี ริวัลโด้ ก็ย้ายไปเล่นให้กับ โมกิ มิริม ในลีกรองของบราซิล ต่อด้วยการเริ่มสร้างชื่อกับการเล่นให้ โครินเธียนส์ ในปี 1993 ผลงานของ ริวัลโด้ ถือว่าน่าจับตามองไม่น้อย จนถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลเป็นครั้งแรกด้วย และสามารถเล่นได้ทั้งทีมชาติชุดใหญ่ และชุด U23 ในมหกรรมกีฬา โอลิมปิก ณ นครแอตแลนต้า เมื่อปี 1994
ปีถัดมา ริวัลโด้ ย้ายไปร่วมทีม พัลไมรัส ยักษ์ใหญ่แดนแซมบ้า ซึ่ง ณ สโมสรแห่งนี้เองที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับในวงการฟุตบอลบราซิล จากการพาต้นสังกัดป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จในปี 1994 และคว้าแชมป์ คัมปิโอนาโต้ เปาลิสต้า ทั้งในปี 1994 และ 1996
ด้วยผลงานอันเกินวัยของ ริวัลโด้ ทำให้ดูเหมือนว่าลีกบ้านเกิด ณ ประเทศบราซิล น่าจะเล็กเกินไป โดยหลังจากที่มีแมวมองมากมายเดินทางมาซุ่มดูฟอร์มแข้งรายนี้ สุดท้ายกลายเป็น ดิปอร์ติโบ ลา กอรุนญา ในศึกลา ลีกา สเปน ที่คว้าตัวจอมทัพชาวบราซิลลรายนี้ไปร่วมทีมด้วยสัญญาระยะสั้นเพียงปีเดียว
หนึ่งปีในความทรงจำกับ ซูเปอร์เดปอร์
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีสัญญาแค่ปีเดียว แต่ ริวัลโด้ ก็เนรมิตรประตูให้กับ ซูเปอร์เดปอร์ ได้ถึง 21 ประตูจากการลงสนาม 41 เกมรวมทุกรายการ รั้งอันดับที่ 4 ของตารางซัลโว ทั้งที่เล่นในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรุก พร้อมกับพาต้นสังกัดจบอันดับที่ 3 ของศึกลา ลีกา ด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าผลงานของจอมทัพบราซิเลียน ไม่รอดพ้นสายตายักษ์ใหญ่แห่งศึกลา ลีกา อย่าง บาร์เซโลน่า โดยในปีถัดมา พลพรรค เจ้าบุญทุ่ม ก็จัดการคว้าตัว ริวัลโด้ มาร่วมทีมได้สำเร็จด้วยค่าตัว 16.5 ล้านยูโร ตามคำแนะนำของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน กุนซือ บาร์ซ่า ณ เวลานั้นที่โน้มน้าวให้บอร์ดบริหารเซ็นสัญญากับ ริวัลโด้ ก่อน สตีฟ แม็คมานามาน ปีกชาวอังกฤษ โดยการันตีว่า ริวัลโด้ จะผลิตสกอร์ให้กับ อาซูลกราน่า ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ฤดูกาลแรกของ ริวัลโด้ ที่ บาร์เซโลน่า เจ้าตัวคว้าตำแหน่งรองดาวซัลโว จากการยิงไป 19 ประตูจาก 34 นัด พร้อมช่วยให้ บาร์เซโลน่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งศึก ลา ลีกา และ โกปา เดล เรย์ ได้สำเร็จ โดยชีวิตในถิ่น คัมป์นู ของ ริวัลโด้ ถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่พีคที่สุดในชีวิตการค้าแข้ง จากสไตล์การเล่นที่เต็มไปด้วยเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้นักเตะเจ้าของฉายา นิเชา กลายเป็นส่วนสำคัญในการนำทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน ในฤดูกาล 1997-98 และ 1998-99
พีคสุดหยุดไม่อยู่ ในถิ่น คัมป์นู ของ บาร์ซ่า
โดย ตลอด 5 ฤดูกาลในถิ่นคัมป์ นู ริวัลโด้ ตอบแทนให้ บาร์เซโลน่า ด้วยการช่วยทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา ในฤดูกาล 1997-98 , 1998-99 คว้าแชมป์ โกปา เดลเรย์ 1997-98 รวมทั้งคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ในปี 1997 พร้อมกับจารึกสถิติซัดไป 129 ประตูจาก 235 นัด และก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลบัลลงดอร์ ในปี 1999 พ่วงด้วยนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าในปีเดียวกัน ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ทำให้ ริวัลโด้ เป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่องไปทั่วโลก
นอกจากจะพีคสุดๆกับ บาร์เซโลน่า แล้ว ในช่วงปี 2002 ยังถือเป็นปีทองของ ริวัลโด้ ด้วย จากการเป็นส่วนสำคัญในการพาทัพ เซเลเซา คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ซึ่งเจ้าตัวเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกและเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างเกมบุกของทีม และยังรับหน้าที่สลับตำแหน่งกับ โรนัลโด้
แถมยังช่วยให้ โล้นทองคำ คว้าตำแหน่งดาวซัลโวในศึก เวิลด์คัพ หนนั้นด้วย ซึ่งความสามารถของ ริวัลโด้ ไม่ได้มีแค่การทำประตูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม การเลี้ยงลูกที่แม่นยำ และการยิงฟรีคิกที่ทรงพลัง เขาเป็นนักเตะที่มีความหลากหลายในการเล่นและสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ในเกมได้อย่างดี
หลังจบศึก เวิลด์ คัพ ในปี 2002 ริวัลโด้ ย้ายไปเล่นอยู่กับ เอซี มิลาน ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ซึ่ง ริวัลโด้ สามารถทำผลงานได้ดี แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลักของทีมเหมือนที่ บาร์เซโลน่า แต่เขายังสามารถสร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีมได้เสมอ
โดยในฤดูกาล 2002-03 ริวัลโด้ คว้าแชมป์ อิตาเลียน คัพและ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับทัพ ปีศาจแดง-ดำ แต่หลังจากนั้นเขาประสบปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มตกจนทำให้ต้องย้ายออกจากถิ่น ซาน ซิโร่ ไปเล่นให้กับ เฟเนอร์บาห์นเซ ในตุรกี เป็นช่วงสั้นๆ
ภาพจำของ ริวัลโด้ ที่ค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา
ซึ่งถึงตอนนั้นบทบาทและผลงานรวมไปถึงภาพจำของ ริวัลโด้ ก็ค่อยเลือนหายไปตามกาลเวลา แม้ว่าหลังจากนั้น ริวัลโด้ จะร่อนเร่พเนจรไปค้าแข้งกับสโมสรต่างๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เออีเค เอเธนส์ ในปี 2007 ต่อไปด้วย เอฟซี บันยอดกอร์ ของอุซเบกิสถาน ในปี 2008 ต่อด้วยการย้ายกลับบราซิลไปเล่นกับ เซา เปาโล ในปี 2011 โดยถึงตอนนั้นหลายคนคิดว่า ริวัลโด้ น่าจะย้ายกลับบ้านเกิดเพื่อแขวนสตั๊ด
แต่ที่ไหนได้ในปี 2012 ริวัลโด้ เลือกที่จะไปผจญภัยกับ คาบุสคอร์ป ในลีกของแองโกลา ก่อนย้ายกลับมาที่บราซิลกับ เซา คาเอตาโน่ และแขวนสตั๊ดกับอดีตต้นสังกัดอย่าง โมกิ มิริม ในปี 2005 ด้วยวัย 43 ปีริวัลโด้ เป็นนักเตะที่มีบทบาทในการเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นหลัง ความมุ่งมั่นและการไม่ยอมแพ้ของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนชื่นชมและยกย่อง
ริวัลโด้เคยกล่าวว่า “ความสำเร็จไม่ได้มาโดยง่าย คุณต้องทำงานหนักและเชื่อในตัวเองเสมอ” คำพูดนี้สะท้อนถึงความตั้งใจและการทำงานหนักของเขาที่ทำให้เขากลายเป็นตำนานในวงการฟุตบอล เขายังมีส่วนร่วมในกิจกรรมการกุศลและเป็นทูตสันถวไมตรีของยูนิเซฟ สร้างประโยชน์ให้กับสังคมทำให้ ริวัลโด้ เป็นที่เคารพและยกย่องไม่เพียงแต่ในฐานะนักฟุตบอล แต่ยังในฐานะบุคคลที่มีจิตใจดีและมุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้อื่น
แข้งผู้เอาชนะความลำบาก สู่ตำนานแข้งทีมชาติบราซิล
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ริวัลโด้ ไม่ค่อยได้รับการเชิดชู อาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของเขา เขาเป็นคนพูดน้อยและขี้อาย แถมยังต้องเผชิญกับคำดูถูกมาตั้งแต่เด็กๆ จนทำให้เขาเลือกที่จะไม่ตอบโต้หรือแก้ต่างภาพลักษณ์ของตัวเองริวัลโด้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการต่อสู้เพื่อความฝันและความสำเร็จ
แม้จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้และสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมได้ การทำงานหนัก ความมุ่งมั่น และความเชื่อในตัวเองเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับในวงการฟุตบอล
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค