หากจะกล่าวถึวกองหน้าระดับ ซ้ายรีโมท หรือว่าซ้ายสั่งตาย ในฟุตบอลยุค 90 ต่อเนื่องถึงยุคมิลเลเนียม หลายคนก็อาจจะมีนักเตะในดวงใจหลากหลายกันไป
เส้นทางพลิกชีวิตจาก แอตเลติโก สู่ เรอัล มาดริด
ไป แต่สำหรับในเวทีลา ลีกา สเปน ในยุคนั้น หากพูดถึงเพชรฆาตเท้าซ้าย ก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ราอูล กอนซาเลซ กองหน้าเจ้าของเสื้อหมายเลข 7 ผู้เป็นตำนานแห่งถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ของพลพรรค ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด นั่นเอง
ราอูล กอนซาเลซ บลังโก้ เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ปี 1977 ที่ บียาเวอร์เด้ อัลโต้ บริเวณชานเมืองหลวงอย่าง กรุงมาดริด ประเทศสเปน โดยเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับกับทีมเยาวชนของ ซาน คริสโตบาล เดอ ลอส แอนเจลิส ก่อนที่ ราอูล ในวัย 13 ปีจะเข้าสู่สาระบบอะคาเดมี่ของ แอตเลติโก้ มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเวทีลา ลีกา สเปน และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ U15 มาครองได้ ท่ามกลางความหวังว่าจะได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของทัพ ตราหมี ในอนาคต
จุดเปลี่ยนสำคัญ ก้าวกระโดดสู่ทีมชุดใหญ่ของ ราชันชุดขาว
อย่างไรก็ตามฝันของ ราอูล กลับเจอจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ เมื่อ เฆซุส กิล ประธานสโมสร แอตเลติโก มาดริด ในยุคนั้น สั่งยกเลิกโครงการผลิตนักเตะเยาวชน เพราะต้องการประหยัดงบประมาณของสโมสร ด้วยเหตุนี้ทำให้ ราอูล ต้องหันไปเข้าร่วมทีมเยาวชนของทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริด ก่อนจะสถาปนาตัวเองกลายสัญลักษณ์แห่งถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ก้าวขึ้นไปอยู่ในทำเนียบนักเตะระดับตำนานของทัพ ราชันชุดขาว และได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 10 ผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลของ มาดริด ด้วย
ราอูล ออกเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในอาชีพค้าแข้ง ในฤดูกาล 1994-95 ด้วยการลงเล่นในทีม มาดริด เซ หรือทีมระดับ 3 ของทัพ ราชันชุดขาว และสร้างความประทับใจด้วยการกระหน่ำไปถึง 13 ประตู จากการลงสนามเพียง 7 เกม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเหมาคนเดียว 5 ประตูในเกมที่พบกับ เซเด กอร์ราเยโฆ่
โดยนอกจากการยิงประตูที่เฉียบคมดั่งใบมีดโกนจากอีซ้ายของ ราอูล แล้ว เซนส์ ,ทักษะ รวมไปถึงความเป็นผู้นำของไอ้หนูรายนี้มันดันไปเข้าตา ฮอร์เก้ บัลดาโน่ กุนซือของ เรอัล มาดริด ในตอนนั้น ทำให้ ราอูล ถูกเรียกตัวไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่ในวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น
ไล่ล่าทุบสถิติเป็นว่าเล่น กลายเป็นขวัญใจในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
หลังจากนั้นไม่นาน ราอูล ก็กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามในทีมชุดใหญ่ของ เรอัล มาดริด ณ เวลานั้น ด้วยวัยเพียง 17 ปี 124 วัน โดยเป็นเกมที่ทัพ ราชันชุดขาว บุกไปเยือน เรอัล ซาราโกซ่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1994 ซึ่งเกมนั้น ราอูล ที่ลงสนามในฐานะตัวสำรองมีส่วนช่วยให้ อิวาน ซาโมราโน่ ยิงประตูได้ในเกมดังกล่าวด้วย ก่อนสัปดาห์ต่อมาแข้งเจ้าของฉายา เพชรฆาตหน้าหยก อย่าง ราอูล จะเบิกสกอร์แรกในนามชุดใหญ่ได้สำเร็จ
ซึ่งการยิงประตูแรกในฟุตบอลอาชีพของ ราอูล เหมือนดั่งบทละครที่เขียนเอาไว้ เพราะทีมที่เจ้าตัวสังหารประตูใส่ได้เป็นทีมแรกในฐานะนักเตะอาชีพก็คือ แอตเลติโก มาดริด ทีมรักและทีมอู่ข้าวอู่น้ำของตัวเองที่ตัดสินใจยุบอะคาเดมี จนทำให้ ราอูล ต้องระเห็จมาซบอกอริร่วมเมือง
ก่อนที่ชะตาฟ้าลิขิตให้ ราอูล กลับมาแจ้งเกิดด้วยการยิงประตูใส่ทัพ ตราหมี ในเดือนพฤศจิกายนปี 1994 โดยเพียงปีแรกในทีมชุดใหญ่ ราอูล ตะบันไปถึง 9 ประตูจากการลงสนาม 28 เกม แถมต้นสังกัดอย่าง เรอัล มาดริด ก็คว้าแชมป์ลา ลีกา ฤดูกาล 1994–95 มาครองได้สำเร็จ จนทำให้ ราอูล กอนซาเลซ ดังเป็นพลุแตก ณ ตอนนั้น
ยุคทองอันเรืองรองของ กาลาติกอส ที่มี ราอูล เป็นตัวชูโรง
หลังจากนั้น ราอูล ก็ค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของ มาดริด พร้อมกับพาพลพรรค ราชันชุดขาว ประสบความสำเร็จมากมาย จนกลายเป็นยุคทองอันเรืองรองของพวกเขา ทั้งการคว้าแชมป์ลา ลีกา ในปี 1997, 2001 และ 2003 รวมไปถึงการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึง 3 ครั้ง ในปี 1998, 2000 และ 2002 ซึ่งใน 2 ครั้งหลังสุดที่ มาดริด ได้แชมป์ บิ๊กเอียร์ ราอูล ยิงประตูในรอบชิงชนะเลิศได้ทั้ง 2 นัด
ในปี 2005 ราอูล ยังนักเตะคนแรกที่ทำได้ถึง 50 ประตู ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จากสนามลงสนาม 97 นัด นอกจากนี้ในฤดูกาล 2009-10 ราอูล ทำสถิติลงเล่นให้กับ ราชันชุดขาว มากที่สุด โดยวันที่ทำลายสถิติคือวันที่ 23 กันยายน 2009 ซึ่งเจ้าตัวลงมาเป็นตัวสำรองในเกมชนะ บียาร์เรอัล ไปได้ 2-0
เท่านั้นยังไม่พอเมื่อ ราอูล อยู่ในอันดับ 10 ของสถิตินักเตะที่ยิงประตูได้มากที่สุดในลา ลีกา สเปน จากการยิงไป 180 ประตูจากการลงสนาม 400 เกมให้กับ มาดริด และยังเป็นดาวยิงสูงอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ของทีม ราชันชุดขาว ด้วย โดยเป็นรองแค่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซม่า เท่านั้น
สัญลักษณ์แห่งทัพ ราชันชุดขาว คำนิยามของแฟนบอลที่มอบให้ ราอูล
“ราอูล เปรียบเมือนสัญลักษณ์ของ เรอัล มาดริด เขาเป็นสัญลักษณ์ของทีมชาติ เขาเป็นกองหน้าที่มีสัญชาตญาณแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด และยังเป็นตัวอย่างสำหรับทุกคน ทุ่มเทเต็มที่ในทุกๆเกม โดยไม่คำนึงถึงคู่ต่อสู้ เขาจะทุ่มเททุกอย่างด้วยความกระหาย เขาตื่นตัวอยู่เสมอสำหรับการเก็บบอลจังหวะสอง เขาคือต้นแบบอันยอดเยี่ยมสำหรับทุกคนที่เคยฝันอยากเป็นนักฟุตบอล”
“ราอูล เป็นนักเตะประเภทที่เรียกได้ว่า เบอร์ 9 ผสม เบอร์ 10 เขามีทักษะในการจบสกอร์ที่เฉียบขาด พักบอลได้และเข้าฮอร์สแบบถูกที่ถูกเวลาในแบบฉบับกองหน้าตัวเป้า ในขณะที่ในแง่ของการสร้างสรรค์เกม ทักษะการเอาตัวรอด ความพริ้วและแพรวพราวในแบบฉบับหมายเลข 10 ราอูล ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน”
นี่คือคำนิยามและคำจำกัดความของเหล่าบรรดาแฟนบอล เรอัล มาดริด ที่มีต่อกองหน้าขวัญใจของพวกเขา ราอูล เรียกได้ว่าเป็นนักเตะเบอร์ต้นๆในลิสต์ของทั้งดาวซัลโวและจอมแอสซิสต์ของสโมสรในหลายๆฤดูกาล ด้วยหัวหอกเจ้าของท่าดีใจจูบแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย จารึกสถิติการยิงประตูในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ถึง 71 ประตูจากการลงสนาม 142 เกม
อย่างไรก็ตามชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง โดยในช่วงท้ายของ ราอูล กับ มาดริด เจ้าตัวเริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงไป เช่นเดียวกับผลงานของต้นสังกัดอย่าง เรอัล มาดริด ที่ไม่ได้แชมป์มา 2 ปีติดต่อกัน ซึ่งสถานะ ณ ตอนนั้น ราอูล เป็นได้เพียงตัวโจ๊กเกอร์ ที่มักจะลงสนามมาเป็นตัวสำรองเท่านั้น จนกระทั่งในปี 2010 ราอูล โบกมือลาถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเนว
พร้อมฝากสถิติเป็นนักเตะที่ลงสนามมากที่สุดและทำประตูสูงสุดให้สโมสรที่จำนวน 741 นัด ซัด 325 ประตู ก่อนถูก คริสเตียโน โรนัลโด้ แซงในภายหลัง ราอูล ใช้ชีวิตช่วงท้ายด้วยการย้ายไปในเล่นในเยอรมนีกับ ชาลเก้ 04 2 ปี คว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล และ เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ ได้อย่างละสมัย ก่อนย้ายไปขุดทองในกาตาร์กับ อัล ซาดด์ อีก 2 ปีคว้าแชมป์ลีกกับบอลถ้วยมาครองได้อีก ก่อนจะมาประกาศแขวนสตั๊ดกับ นิวยอร์ค คอสมอส ในปี 2015
ราอูล ไม่ปังกับทีมชาติสเปน ,ตัวเต็งกุนซือ มาดริด คนต่อไป ?
สำหรับผลงานในนามทีมชาติของ ราอูล กอนซาเลซ แม้ว่าจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก ในการลงแข่งขันระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ฟุตบอลโลก แต่ ราอูล ก็ถือเป็นผู้เล่นที่ได้รับการยอมรับในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลงานส่วนตัว
หรือจะเป็นบทบาทผู้นำและความเป็นมืออาชีพที่มีอยู่ในตัว ราอูล โด่งดังมาตั้งแต่ลงสนามให้กับ มาดริด เซ และติดทีมชาติสเปน ในระดับเยาวชนมาแล้วแทบจะทุกชุดไล่ตั้งแต่ U18-U23 จนกระทั่งในปี 1996 ราอูล ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ภายใต้การคุมทีมของ ฆาเบียร์ เกลเมนเต้
โดย ราอูล ลงสนามให้ทัพ กระทิงดุ ครั้งแรกในเกมที่พบกับ สาธารณรัฐเช็ก เมื่อเดือนตุลาคม ปี 1996 หลังจากนั้นก็ติกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมไปในที่สุด และหลังจากที่ เฟร์นานโด เอียร์โร่ ประกาศอำลวงการฟุตบอลสเปน ไปเมื่อปี 2002 ราอูล ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีม เรอัล มาดริด
และทีมชาติสเปน ราอูล เป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่คนที่ติดทีมชาติสเปนครบ 100 นัด และยังเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูให้ทีมชาติสเปนได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนสถิติจะถูกทำลายโดย ดาบิด บีย่า ในเวลาต่อไป
เพชรฆาตหน้าหยก ผ่านการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย มาแล้ว 2 ครั้ง คือในปี 1998 ที่ฝรั่งเศส และ 2002 ที่เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ส่วน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ราอูล ก็เล่นมาแล้ว 2 ครั้ง คือใน ยูโร 2000 ที่ ฮอลแลนด์ กับ เบลเยี่ยม ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ และ ยูโร 2004 ที่โปรตุเกส นั่นทำให้ ราอูล เคยเป็นผู้เล่นที่ติดทีมชาติสเปนมากที่สุดด้วยจำนวน 102 หลังจากลงสนามในนัดที่ สเปน พบ ซาน มารีโน่ ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 2005 ก่อนที่สถิติจะถูกทำลายโดย เซร์คิโอ รามอส
แม้ว่าเส้นทางของ ราอูล กับทีมชาติสเปน จะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายเหมือนกับทัพ กระทิงดุ ในยุคหลังๆ แต่อย่างน้อยก็เชื่อเหลือเกินว่า ชื่อของ ราอูล กอนซาเลซ จะยังเป็นที่รักของแฟนบอลอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็น ทีมชาติสเปน หรือ เรอัล มาดริด โดยปัจจุบัน ราอูล เป็นหัวหน้าโค้ชของ เรอัล มาดริด กาสติย่า
และมีแนวโน้มสูงเลยทีเดียว ที่อาจจะเข้ามารับงานต่อจาก คาร์โล อันเชล็อตติ ในอนาคตอันใกล้ และหากวันนั้นมาถึงจริง ก็เชื่อว่าแฟนๆ ราชันชุดขาว ก็น่าจะยินดีปรีดากับการกลับมาของอดีตตำนานดาวยิงอีซ้ายหมายเลข 7 อย่าง ราอูล กอนซาเลซ
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค