หากจะพูดถึงกุนซือชาวต่างชาติของ ทีมชาติไทย สักคนที่อยู่ในใจแฟนบอลชาวไทย เชื่อว่าชื่อของ ปีเตอร์ วิธ กุนซือเจ้าของคาแรกเตอร์กางเกงขาสั้นชาวอังกฤษ น่าจะอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆของแฟนบอลชาวไทยอย่างแน่นอน สมัยยังค้าแข้ง ปีเตอร์ วิธ เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า จากการมีรูปร่างสูงใหญ่ถึง 188 เซนติเมตร การจบสกอร์อันเฉียบคมทั้งลูกกลางอากาศและภาคพื้นดินทำให้ วิธ เป็นนักเตะอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง โดยตระเวนค้าแข้งมากกว่า 10 สโมสรในแดนผู้ดี
จุดเริ่มต้นของนักเตะโนเนมนามว่า “ปีเตอร์ วิธ”
ปีเตอร์ วิธ ในวัย 19 ปีเริ่มต้นค้าแข้งกับ เซาท์พอร์ต เอฟซี ในฤดูกาล 1970-1971 แต่ได้รับโอกาสสัมผัสเกมเพียง 3 นัดเท่านั้น ก่อนตระเวนไปค้าแข้งให้กับ บาร์โรว์ ,พอร์ธ เอลิซาเบธ ซิตี้ และ อาร์คาเดีย สเตฟเพิร์ด ในช่วงระหว่างปี 1971-1973 จนกระทั่งฤดูกาล 1973-74 วิธ ย้ายมาอยู่กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในฟุตบอลดิวิชั่น 1 ซึ่งเป็นฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษในขณะนั้น โดย วิธ ได้รับโอกาสลงสนาม 17 นัดยิงไป 3 ประตู
ในช่วงปี 1975 หลังจากที่ ปีเตอร์ วิธ หมดสัญญากับทัพ หมาป่า เจ้าตัวก็ตัดสินใจอินดี้ด้วยการย้ายไปเล่นในศึกนอร์ท อเมริกัน ซอคเกอร์ ลีก หรือ NASL กับ พอร์ตแลนด์ ทิมเบอร์ และ ปีเตอร์ วิธ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยตะบันไปถึง 16 ประตูจากการลงสนาม 22 นัด แต่สุดท้ายก็อยู่ที่นั่นได้ปีเดียว ปีเตอร์ วิธ ก็กลับมาผจญภัยยังบ้านเกิดอีกครั้งกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในฤดูกาล 1975-1976
สร้างชื่อกับทัพ เจ้าป่า พาทีมกลับคืนลีกสูงสุด
ซึ่ง ปีเตอร์ วิธ สามารถยึดตำแหน่งกองหน้าตัวจริงของทีมได้สำเร็จ และลงสนามไปทั้งสิ้น 32 นัดยิงไป 9 ประตู หลังจากนั้น วิธ ชีพจรลงเท้าอีกครั้ง ด้วยการเซ็นสัญญากับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นทีมระดับดิวิชั่น 2 ของอังกฤษ และเพียงแค่ฤดูกาลแรกขอ วิธ กับทัพ เจ้าป่า เจ้าตัวก็สามารถพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ จากผลงานลงสนาม 42 นัด ตะบันไปถึง 19 ประตู และเป็นดาวยิงสูงสุดของสโมสรในฤดูกาล 1976-1977 และพา ฟอเรสต์ จบอันดับที่ 3 ในศึกดิวิชั่น 2 ของอังกฤษ
ฤดูกาล 1977-1978 ปีเตอร์ วิธ และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ สร้างประวัติศาสตร์อันแสนน่าเหลือเชื่อ ด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมฝากผลงานลงสนาม 40 นัดกระหน่ำไป 12 ประตู เท่านั้นยังไม่พอ ปีเตอร์ วิธ ยังพา เจ้าป่า เอาชนะ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศ ลีกคัพ ได้ด้วย
และฝากผลงานในรายการนี้ไวที่ 8 นัดซัดไป 5 ประตู โดย 2 จาก 5 ประตูที่เกิดขึ้นเป็นการยิงใส่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในรอบรองชนะเลิศทั้งเหย้าและเยือน โดยการคว้าแชมป์ฟุตบอลดิวิชั่น 1 และฟุตบอลลีก คัพ ร่วมกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ได้ ถือเป็นอีกหนึ่งความทรงจำของ ปีเตอร์ วิธ เลยทีเดียว
หลังแจ้งเกิดกับ ฟอเรสต์ ปีเตอร์ วิธ ออกเดินทางอีกครั้งด้วยการย้ายไปอยู่กับ นิวคาสเซิล และกลายเป็นกำลังสำคัญของทัพ สาลิกาดง ตลอด 2 ฤดูกาลที่ค้าแข้งในถิ่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ค โดย วิธ ลงสนามทุกรายการไปทั้งสิ้น 83 นัด ตะบันไป 27 ประตู และได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรประจำฤดูกาล 1978-1979
พีคสุดหยุดไม่อยู่ คว้าแชมป์ยุโรปกับ แอสตัน วิลล่า
หลังจากนั้ ปีเตอร์ วิธ พเนจรอีกครั้งด้วยการย้ายไป แอสตัน วิลลา ฤดูกาล 1980-1981 โดยฤดูกาลแรกของ วิธ กับ วิลลา เจ้าตัวลงสนาม 40 เกมยิง 21 ประตู และมีส่วนสำคัญในการพา แอสตัน วิลลา คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ของอังกฤษ ซึ่งจากผลงานดังกล่าวทำให้ในฤดูกาลต่อไปเจ้าตัวได้วาดลวดลายในรายการชิงแชมป์สโมสรยุโรป หรือรายการยูโรเปียน คัพ (European Cup) โดย วิธ ยิง 2 ประตูใส่สโมสร วาเลอร์ จากไอซ์แลนด์ ในเกมรอบแรก นัดแรก ช่วยให้ สิงห์ผงาด เอาชนะไปได้ 5-0
จากนั้นแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้ ในรายการดังกล่าว แต่ก็ได้รับความไว้วางใจและมีส่วนสำคัญในการพา แอสตัน วิลลาเดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้อย่างเหลือเชื่อ โดย วิลล่า ผ่านเข้ามาชิงดำกับ บาเยิร์น มิวนิก จากเยอรมันตะวันตก ซึ่ง ปีเตอร์ วิธ ก็ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ลงสนามอีกครั้ง
และเจ้าตัวก็ตอบแทนความไว้วางใจด้วยการยิงประตูชัยช่วยให้ แอสตัน วิลล่า พลิกล็อคโค่น เสือใต้ 1-0 คว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ ได้แบบหักปากกาเซียน โดยผลงานดังกล่าวถือว่าเป็นจุดสูงสุดในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของ ปีเตอร์ วิธ เลยก็ว่าได้ โดยตลอด 5 ฤดูกาลกับ แอสตัน วิลล่า วิธ ลงสนามไปทั้งสิ้น 182 นัด ทำไป 74 ประตู พร้อมกับก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤฤษเป็นช่วงสั้นๆ ลงเล่น 11 เกมยิงไป 1 ประตูใส่ ทีมชาติฮังการี
จากนั้น ปีเตอร์ วิธ ก็เริ่มเข้าสู่ชีวิตขาลง โดยในฤดูกาล 1985-1989 วิธ ย้ายไปอยู่กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ต่อด้วย ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ ในฤดูกาล 1989-1990 เป็นสโมสรสุดท้าย ฝากผลงานลงสนามไป 18 นัดทำได้ 1 ประตู เป็นการปิดฉากอาชีพนักฟุตบอลด้วยวัย 39 ปี หลังจากนั้นในปี 1991 ปีเตอร์ วิธ เริ่มงานผู้จัดการทีมครั้งแรกกับ วิมเบิลดัน ในฤดูกาลต่อมา อย่างไรก็ตามคุมทีมได้ไม่นานก็โดนปลดออกจากตำแหน่ง ก่อนเว้นวรรคจากคุมทีมไปพักใหญ่ เพราะต้องการเรียนรู้งานโค้ชมากขึ้น
สร้างปรากฏการณ์ให้ทัพ ช้างศึก กลายเป็นที่รักของชาวไทย
ปี 1998 วิธ คัมแบ็คอีกครั้ง โดยเป็นการรับงานอันสุดท้าทายด้วยการรับหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอน ทีมชาติไทย โดยกุนซือรายนี้เข้ามายกระดับ ช้างศึก ถึงขนาดเคยขึ้นไปติดอันดับสูงที่สุดของฟีฟ่าคือ 43 เมื่อปี 2000 เป็นอันดับโลกสูงที่สุดที่เคยไปถึงจวบจนปัจจุบัน โดยกุนซือตาน้ำข้าวคว้าแชมป์หลายรายการกับทีมชาติไทย ทั้ง แชมป์ไทเกอร์ คัพ หรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ในปัจจุบัน 2 สมัย ในปี 2000 และ 2002 โดยเฉพาะสมัยแรกที่คว้าชัย 5 นัดรวดตั้งแต่รอบแรกยันรอบชิงชนะเลิศ ,แชมป์ซีเกมส์ ปี 1999, แชมป์ถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ปี 2000
นอกจากนี้ยังมีการพา ช้างศึก ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเอเชียนคัพ ปี 2000, พาทีมชาติไทย คว้าดับ 4 ในเอเชียนเกมส์ เป็นสมัยที่ 2 ของตัวเองในปี 2002 และผลงานที่สำคัญที่สุดก็คือการพาทีมชาติไทยผ่านเข้าถึงรอบ 10 ทีมสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย และแม้ว่าตอนนี้ ปีเตอร์ วิธ จะวางมือจากการเป็นกุนซือไปสักพักใหญ่ๆแล้ว แต่ผลงานและความทรงจำดีๆที่กุนซือรายนี้ฝากไว้กับแฟนบอลชาวไทย น่าเป็นอะไรที่ถูกบันทึกไว้อีกนานแสนนานอย่างแน่นอนสำหรับ กุนซือเลือดผู้ดีอันเป็นที่รักของคนไทย ที่มีชื่อว่า ปีเตอร์ วิธ
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค