ฤดูกาล 2003/04 ปาโบล ไอมาร์ ได้ชูถ้วยฉลองแชมป์ยูฟ่า คัพ กับสโมสรบาเลนเซีย ซึ่งเขายังช่วยทีมเป็นแชมป์ลา ลีกา สเปน สองสมัย และมีส่วนพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลแชมเปี้ยนลีก บางที ไอมาร์ อาจจะเป็นผู้เล่นอาร์เจนติน่าที่ดีที่สุดของช่วงต้นศตวรรษที่ 21 และอาจจะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก หากอาการการบาดเจ็บเรื้อรังที่กล้ามเนื้อไม่ทําลายเส้นทางอาชีพของหนึ่งผู้เล่นวัยหนุ่มคนนี้ ผู้มีความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์ฟุตบอล
ความผิดหวังของคุณพ่อ
“ลูกยังเด็กเกินกว่าจะยึดการเตะฟุตบอลเป็นอาชีพ และยังเร็วเกินไปสำหรับการต้องอยู่ไกลห่างจากครอบครัว สิ่งที่ลูกควรใส่ใจในตอนนี้คือการเรียน…”
คำกล่าว ของ ริคาร์โด้ ไอมาร์ ที่บอกแก่ลูกชายผู้กำลังมอบหัวใจให้กับฟุตบอล ซึ่งภายในใจของคุณพ่อนั้นคาดหวังเห็นลูกรักคนนี้ได้เป็นคุณหมอในอนาคตมากกว่า
เด็กน้อยนามว่า ปาโบล รับฟังคำสอนของคุณพ่อ แต่ท้ายสุดแล้ว เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่หลงรักต่อไป เวลานั้น ในความคิดของเขามันมีเพียงประโยคเดียวว่า “หากไม่ใช่ฟุตบอล ชีวิตนี้ไม่ขอเลือกสิ่งอื่นใดอีกแล้ว…”
จนในวันหนึ่ง หลังจาก ปาโบล ได้เข้าร่วมฝึกซ้อมฟุตบอลกับทีมเยาวชนริเวอร์เพลท เขาก็ได้รับความสนใจจาก ดาเนียล พาสซาเรลล่า กุนซือใหญ่ของสโมสร ที่ต้องการให้เด็กคนนี้เข้าเป็นนักเตะฝึกหัดในทีมเยาวชนริเวอร์เพลท นาทีนั้นเอง ความฝันของพ่อที่ต้องการเห็นลูกชายในเสื้อคลุมชุดกาวน์จึงต้องถูกพับลง เมื่อที่สุดแล้วพ่อมองเห็นหัวใจของลูกชายมากกว่าการยึดมั่นความคิดของตนเอง ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่า อีก 22 ปีต่อมา ลูกชายของเขาจะประกาศอำลาอาชีพนักเตะในฐานะกองกลางพรสวรรค์สูงที่สุดคนหนึ่งของโลกฟุตบอล
ปฐมบทบนเส้นทางลูกหนัง
เส้นทางลูกหนังของ ปาโบล ไอมาร์ มิได้แตกต่างจากยอดนักเตะแห่งอาร์เจนติน่าผู้โด่งดังทั้งหลาย ไอมาร์ เกิดที่เมือง Rio Cuarto ห่างไกลเมืองหลวงบูเอโนส ไอเรส สนามฟุตบอลแห่งแรกของเขาคือ ถนน
เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มก่อตัวขึ้นจากพื้นถนนคอนกรีตในยามบ่ายที่อากาศร้อนระอุ ขณะ พาโบล ไอมาร์ กำลังเล่นฟุตบอลกับเหล่าเพื่อนในละแวกบ้าน อัลฟี่ เมอร์กาโด้ โค้ชทีมเยาวชน Estudiantes De Cuarto บังเอิญมาพบและสะดุดตากับสกิลการเลี้ยงลูกบอลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา
สไตล์การเลี้ยงบอลที่ต่างจากเด็กหนุ่มทั่วไปที่มักโชว์สปีดความเร็ว แต่ ปาโบล ไอมาร์ กลับแสดงให้เห็นถึงทักษะในการครองบอล การคุมจังหวะเกมโดยสร้างสรรค์มันออกมาได้อย่างง่ายดาย
หลังพบ”เพชรเม็ดงาม” เมอร์กาโด้ ไม่รีรอที่จะเสนอโอกาสแก่ ไอมาร์ ด้วยการดึงเข้าสู่ทีมเยาวชนท้องถิ่นที่เขาดูแลอยู่ทันที อีกทั้งยังไม่ต้องเข้าทดสอบความสามารถใดๆ
ไอมาร์ เดินทางมาร่วมซ้อมกับ Estudiantes De Cuarto สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งบทบาทของสโมสรแห่งนี้ในเวลานั้นคือเป็นแหล่งบ่มเพาะแข้งเยาวชนเพื่อผลักดันสู่สโมสรอาชีพหลายแห่งในอาร์เจนตินา
ไม่นานนัก ความสามารถในการเล่นฟุตบอลของ ไอมาร์ ก็เริ่มสื่อสารกับเหล่าคนในแวดวงลูกหนังอาร์เจนติน่า จนวันหนึ่งชื่อของเขาตกเป็นที่สนใจของริเวอร์เพลท สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลีกอาร์เจนติน่า มันคือโอกาสครั้งใหญ่และสำคัญในชีวิต ซึ่งในขณะเดียวกัน มันก็เป็นวันที่พ่อของเขาทำใจยอมรับว่า ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้จะไม่มีทางได้เป็นนายแพทย์อย่างที่เขาวาดหวังไว้อีกแล้ว…
ซึ่งในวัยเพียง 16 ปี ปาโบล ไอมาร์ ได้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของ ริเวอร์เพลท เรียบร้อยแล้ว
ดั่ง ‘เพชร’ ที่ไม่ต้องผ่านการเจียระไน ไอมาร์ แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในฝีเท้าได้ตั้งแต่เกมนัดประเดิมสนามที่ต้องพบกับทีมโคลอน เขาเอาชนะแผงหลังตัวเก๋าของทีมคู่แข่ง ด้วยรูปร่างบอบบางแต่คล่องแคล่วประกอบกับทักษะอันเหนือชั้น ไอมาร์ เล่นงานบรรดาแนวรับขาโหดจนทุกคนต่างจดจำชื่อของเขาได้ดี
สไตล์การเล่นเป็นเอกลักษณ์ วิสัยทัศน์การอ่านเกมที่กว้างไกล เขามักส่งลูกบอลไปยังพื้นที่ว่างของสนามด้วยสายตาอันแหลมคม เมื่อสบโอกาสในจังหวะเล่นเกมโต้กลับลูกบอลจะถูกปล่อยออกจากปลายเท้าของเขาอย่างแม่นยำ
‘คิลเลอร์พาส’ จาก ปาโบล สร้างปัญหาแก่กองหลังคู่แข่ง แต่มันคือ ‘ขนมหวาน’ สำหรับสองกองหน้าอย่าง มาร์เซโล่ ซาลาส และ ฮวน ปาโบล อังเคล แห่งริเวอร์เพลท
ความสมบูรณ์แบบทั้งทิศทางและน้ำหนัก นำไปสู่ประตูมากมาย ครั้งหนึ่ง ซาลาส ดาวยิงทีมชาติชิลี เคยกล่าวว่า “ไอมาร์ คือผู้วิเศษ เขามักมองเห็นผมและสร้างโอกาสที่ผมต้องการได้อยู่เสมอ” หลังผ่าน 4 ปี กับริเวอร์เพลท ชื่อ ปาโบล ไอมาร์ ก็เริ่มแพร่กระจายสู่วงการลูกหนังยุโรป สถิติยิง 21 ประตู 28 แอสซิสต์ จาก 82 เกม มันพิสูจน์ถึงคุณภาพในตัวนักเตะคนหนึ่ง จนวันหนึ่ง การลาจากก็เดินทางมาถึง
พิชิตลีกยุโรป
ข้อเสนอมากมายจากบรรดาสโมสรชั้นนำในยุโรป อังกฤษ สเปน อิตาลี ถูกวางแผ่อยู่เบื้องหน้านักเตะหนุ่มชาวอาร์เจนไตน์เพื่อรอการจรดปากกาจากเขา แต่สุดท้ายการตัดสินใจนั้นเกิดขึ้นด้วยความคิดที่เรียบง่าย ไอมาร์ เลือกย้ายไปร่วมทีม บาเลนเซีย แห่งศึกลา ลีกา สเปน
บาเลนเซีย ในเวลานั้นคือทีมที่กำลังต้องการยกระดับขึ้นมาต่อกรกับ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ในวันที่ ไอมาร์ สลักชื่อตัวเองเป็นหนึ่งในสมาชิก ‘ถ้ำค้างคาว’ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเรียบง่ายและค่อนข้างสงบงาม เพราะมันคือช่วงเวลาเดียวกับความคึกโครมของการย้ายเข้าสู่ทัพ ‘ราชันชุดขาว’ ของยอดเพลย์เมกเกอร์อย่าง ซีเนอดีน ซีดาน ที่มีค่าตัวเป็นสถิติโลกในขณะนั้น
ฤดูกาลแรกในถิ่น เมสตาย่า ทีมจบได้เพียงอันดับ 5 ในศึก ลา ลีกา แต่สโมสรกลับทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ซึ่ง บาเลนเซีย สามารถเก็บชัยเหนือทีมอย่าง ลียง, อาร์เซน่อล และลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนจะเข้าไปพ่าย บาเยิร์น มิวนิค ด้วยการดวลจุดโทษตัดสินหาแชมป์
เวลานั้น บาเลนเซีย อยู่ภายใต้การคุมทีมของ เอคเตอร์ คูเปร์ โดยทีมเต็มไปด้วยผู้เล่นแนวรุกระดับคุณภาพ เช่น กาอิซก้า เมนดิเอต้า, วิเซนเต้, ซลัทโก้ ซาโฮวิช และกองหน้าอย่าง อาเดรียน อิลี กับ ยอห์น คาริว การเข้ามาของ ปาโบล ไอมาร์ ก็เปรียบเสมือนการเติมเต็มและช่วยเพิ่มมิติในเกมรุกให้มีความลึกและหลากหลายมากยิ่งขึ้น
เพียงเดือนแรกในการเดินทางมาถึงแดนกระทิงดุ พรสวรรค์ในฝีเท้าของ ไอมาร์ ถูกกล่าวถึงแบบปากต่อปากจนได้แพร่กระจายข่าวไปอย่างรวดเร็วในแวดวงฟุตบอลสเปน หลังผ่าน 6 เดือน ชื่อของ ไอมาร์ ก็ถูกยกย่องว่าคือยอดกองกลางเพลย์เมกเกอร์ดีที่สุดคนหนึ่งในศึกฟุตบอลลา ลีกา และในวงการลูกหนังยุโรป แม้ฉากสุดท้ายของฤดูกาล 2000/01 จะปิดลงด้วยความผิดหวังในเกมนัดชิงยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก โดย ไอมาร์ ถูกเปลี่ยนตัวออกหลังเกมจบครึ่งเวลาแรก เขาโชว์ฟอร์มไม่ออกเมื่อต้องดวลกับ โอเว่น ฮากรีฟฟ์ มิดฟิลด์ของ ‘เสือใต้’
เอคเตอร์ คูเปร์ อำลา บาเลนเซีย ก่อนย้ายไปคุมอินเตอร์ มิลาน หลังจบฤดูกาล 2000/01 ผู้ที่เข้ามาแทนตำแหน่งกุนซือบาเลนเซียที่ว่างลงคือ ราฟา เบนิเตซ อดีตผู้จัดการทีมสโมสรเตเนริเฟ่
เบนิเตซ ตั้งใจจะพาสโมสรแห่งนี้ให้ประสบความสำเร็จ เขาหาจุดอ่อนของสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งสเปน และพบว่า เรอัล มาดริด มีจุดอ่อนที่แนวรับ ส่วน บาร์เซโลน่า ก็กำลังวุ่นวายกับเรื่องราวนอกสนาม เบนิเตซและบาเลนเซียของเขา จึงประกาศตัวเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งแชมป์ลีกด้วยทีมที่มีประสิทธิภาพในเกมรุกและเกมรับอันแข็งแกร่ง
ซานติอาโก คายิซาเรส คือนายด่านคนสุดท้าย โรแบร์โต้ อยาล่า และ เมาริซิโอ เปเยรกริโน่ ยืนคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ มีนักเตะคอยเก็บกวาดหน้าแผงหลังอย่าง ดาวิด อัลเบลด้า ส่งผลให้ ฤดูกาล 2001/02 บาเลนเซีย เสียประตูแค่ 27 ประตู จาก 38 เกม พวกเขากลายเป็นแชมป์ ลา ลีกา ที่มีแต้มทิ้งห่าง เดปอร์ติโบ ลาคอรุนญ่า ทีมอันดับ 2 ถึง 7 คะแนน
แม้ ไอมาร์ จะยิงได้เพียง 4 ประตู แต่เขาคือผู้เล่นคนสำคัญที่คอยสร้างสรรค์เกมในแนวรุก และเป็นความสมดุลอย่างลงตัวเมื่อเขายืนจับคู่กับ รูเบน บาราฆา
บาเลนเซีย ยิงประตูได้รวม 71 ประตู สูงสุดอันดับ 2 เป็นรองแค่ เรอัล มาดริด แต่ในส่วนของประตูเสีย พวกเขาคือทีมที่เสียประตูน้อยสุดในฤดูกาลแห่งความสำเร็จที่ทีมเฝ้ารอคอยมายาวนานถึง 30 ปี
ความสำเร็จของ ‘ไอ้ค้างคาว’ ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ต่อมาในฤดูกาล 2003/04 เบนิเตซ พาทีมของเขาวิ่งชนความสำเร็จอีกครั้งด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งแชมป์ลา ลีกา สเปน และยูฟ่า คัพ พวกเขาประกาศศักดาเต็มตัวว่าไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งสเปนอีกต่อไปแล้ว
ในช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของทีม อาการบาดเจ็บมักคอยรบกวน ไอมาร์ บ่อยครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม เขายังคงเป็นนักเตะที่แฟนบอลทุกคนต่างเฝ้ารอชมฝีเท้า แม้แต่ ดิเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะ ‘ฟ้า-ขาว’ ยังออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ไอมาร์ คือนักเตะเพียงคนเดียวที่เขายอมควักเงินจากกระเป๋าเพื่อเข้ามานั่งดูเขาเล่นฟุตบอล
หลังจบฤดูกาล 2003/04 ราฟา เบนิเตซ ตัดสินใจแยกทางกับทีมเพื่อไปหาความท้าทายครั้งใหม่ โดยกุนซือที่มาแทนที่เขาคือ เคลาดิโอ รานิเอรี
การมาถึงของกุนซือชาวอิตาลี พร้อมกับรูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนไปของทีม จากที่เคยได้รับบทบาทในการทำเกมอย่างอิสระ ไอมาร์ ถูกโยกออกไปทำหน้าที่ตรงริมเส้น ผลที่ตามมาคือ เขาไม่สามารถรีดเอาประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์เกมออกมาได้อย่างที่เคย และฤดูกาลนั้นทีมก็จบด้วยอันดับ 7 พร้อมกับการปลด รานิเอรี พ้นเก้าอี้กุนซือ
หลังจบฤดูกาล 2005/06 ไอมาร์ โบกมือลาถิ่นเมสตาย่า เขาฝากผลงานไว้ในความทรงจำแฟนบอลมากมาย เหตุผลด้วยเรื่องฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงจากอาการบาดเจ็บที่คอยรบกวน อีกทั้งการไม่ได้รับการเชื่อมั่นจาก รานิเอรี่ เมื่อฤดูกาลก่อน รวมถึงการที่เขาไม่ได้เล่นในตำแหน่งและสไตล์ที่ตัวเองถนัด
เวลานั้น ลิเวอร์พูล ของ ราฟา เบนิเตซ คือทีมที่แจ้งความจำนงต้องการตัว ไอมาร์ ซึ่งทีม ‘หงส์แดง’ เพิ่งคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก และเอฟเอ คัพ ทุกอย่างดูพร้อมสำหรับอดีตลูกทีมคนเก่งของ ราฟา
ข่าวลือการย้ายทีมสร้างความแปลกใจแก่ ไอมาร์ พอสมควร แม้มันจะทำให้เขายังคงอยู่บนเส้นทางอาชีพในระดับสูงสุด แต่ ไอมาร์ กลับเลือกที่จะย้ายไปเล่นกับเรอัล ซาราโกซ่า ซึ่งเป็นทีมในระดับเล็กกว่า
บางคนตีความการตัดสินใจครั้งนี้ว่า ไอมาร์ คือนักเตะที่ไร้ความทะเยอทะยานไปแล้ว และมันอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เขาไม่อาจอยู่ในฟอร์มการเล่นสูงสุดอย่างที่เคยเป็น
แต่ลึกลงไปในการตัดสินใจ มันคือการเลือกเพื่อที่เขาจะได้เล่นฟุตบอลในตำแหน่งที่เขาถนัดต่อไป เพราะแรงจูงใจในการเล่นฟุตบอลของ ไอมาร์ นั้นมีเพียงอย่างเดียวคือ การได้เล่นฟุตบอลอย่างอิสระด้วยสไตล์ที่เขาปรารถนา และการย้ายสู่ เรอัล ซาราโกซ่า ของ ไอมาร์ ถือเป็นการคว้าตัวผู้เล่นคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ซึ่งทันทีที่ฤดูกาล 2006/07 เริ่มต้นขึ้น ไอมาร์ ก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า การเลือกย้ายสโมสรแห่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องถดถอยลงบนเส้นทางอาชีพ
ไอมาร์ คือส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 6 แม้ยังคงมีอาการบาดเจ็บรบกวนแต่ เขาสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลด้วยฟอร์มที่ดีที่สุดอีกครั้ง วิคเตอร์ แฟร์น็องเดซ กุนซือของทีม มอบความอิสระในการสร้างสรรค์เกมแก่เขา และ ไอมาร์ ทำหน้าที่สร้างโอกาสให้กับ ดิเอโก้ มิลิโต้ ศูนย์หน้าของทีม ยิง 23 ประตู คว้าตำแหน่งรองดาวซัลโวของศึกลา ลีกา เป็นรองแค่ รุด ฟาน นิสเตลรอย ของเรอัล มาริด แค่ 2 ประตู แต่ในฤดูกาลต่อมา สิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมในสนามของ ไอมาร์ เป็นสาเหตุที่ทำให้ ซาราโกซ่า ต้องตกชั้นด้วยอันดับ 18 เมื่อทีมประสบกับวิกฤตทางการเงิน การปล่อยผู้เล่นคนสำคัญออกจากทีม สุดท้ายนำมาซึ่งการต้องหล่นชั้นลงไปเล่นใน เซกุนด้า ลีก ฤดูกาลหน้า
ขณะนั้นเอง ไอมาร์ มีข่าวว่าอาจจะได้ย้ายกลับไปเล่นในบ้านเกิด อาร์เจนติน่า กับอดีตสโมสรเก่าอย่างริเวอร์เพลท แต่กลับกลายเป็น เบนฟิก้า สโมสรดังจากโปรตุเกสที่ชิงคว้าตัวไอมาร์ ในวัย 28 ปี ไปร่วมทีม เพราะทีมกำลังหาตัวตายตัวแทน รุย คอสต้า ตำนานยอดเพลย์เกอร์วัยเก๋าที่เพิ่งประกาศเลิกเล่นฟุตบอลในปี 2008
ที่เบนฟิก้า ฤดูกาล 2009/10 ไอมาร์ ได้พบกับ ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า เพื่อนเก่าสมัยเล่นด้วยกันที่ริเวอร์เพลท ทั้งคู่ช่วยกันสร้างโอกาสให้กับ ออสก้า คาร์โดโซ่ ศูนย์หน้าชาวปารากวัย ซัดประตูได้ถึง 38 ประตู จาก 47 เกม เบนฟิก้า คว้าแชมป์ลีกโปรตุเกส ด้วยการยิงประตูได้ถึง 78 ประตู จาก 30 เกม และเสียเพียงแค่ 20 ประตู ในเกมลีกตลอดทั้งฤดูกาล
เบนฟิก้า คว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยโปรตุเกสคัพอีกหนึ่งรายการ นั่นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การประสบความสำเร็จของ เบนฟิก้า ในปีนั้น ส่วนหนึ่งคือผลลัพธ์จากการประสานงานกันอย่างลงตัวของเหล่านักเตะตัวรุกชาวอาร์เจนไตน์อย่าง ปาโบล ไอมาร์, ซาวิโอล่า และ อังเคล ดิ มาเรีย
ไอมาร์ อยู่ที่เบนฟิก้าต่อมาอีก 3 ฤดูกาล แม้ความคล่องแคล่วจะหดหาย แต่ไอดียสร้างสรรค์อันเหนือชั้นยังคงถูกถ่ายทอดมันออกมาสู่สายตาแฟนบอล เขายังคงเป็นนักเตะที่แฟนบอลต่างชื่นชอบ จนในวัย 31 ปี การฝืนสังขารจากอาการบาดเจ็บก็ทำให้ ไอมาร์ ได้ลงเล่นเพียง 13 เกม ในฤดูกาลสุดท้าย เขาอำลาเบนฟิก้า ในปี 2013 กับผลงาน 34 แอสซิสต์ จาก 107 เกม ที่ฝากไว้ในหัวใจแฟนบอล
ไอมาร์ สร้างความประหลาดใจในช่วงท้ายของของอาชีพนักเตะด้วยการย้ายไปร่วมทีม ยะโฮร์ ดารุล ในลีกมาเลเซีย แต่ก็ด้วยเวลาอันแสนสั้น เขาลงเล่นเพียง 8 เกม ยิง 2 ประตู ก่อนจะกลับไปยังอาร์เจนตินาบ้านเกิด
แปดเดือนหลังแยกทางกับ ยะโฮร์ ปาโบล ไอมาร์ เข้าร่วมฝึกซ้อมกับ ริเวอร์เพลท เพื่อหวังต้องการเซ็นสัญญากลับมาเป็นนักเตะอีกครั้ง แต่ด้วยอาการบาดเจ็บและสภาพร่างกายที่เริ่มร่วงโรยตามวัย สโมสรจึงทำได้เพียงจัดเกมอำลาเพื่อเป็นเกียรติแด่อดีตนักเตะคนเก่งของทีมคนนี้ในปี 2015
ในนามทีมชาติ
สำหรับทีมชาติอาร์เจนตินา ไอมาร์ อยู่ในทีมชุดคว้าแชมป์ FIFA Youth World Cup ปี 1997 ชุดเดียวกัล ริเกลเม่, วอลเตอร์ ซามูเอล และ เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ แต่เขาได้ลงเล่นให้ทีมชาติเพียง 52 ครั้ง ยิงได้ 8 ประตู เขาติดทัพ “ฟ้า-ขาว” ชุดฟุตบอลโลก 2002 แต่ห้วงเวลาส่วนใหญ่ในทีมชาติ ไอมาร์ มักตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของฮวน เซบาสเตียน เวรอน อีกทั้งเขายังโชคร้ายที่ไม่ถูกเรียกติดทีมชาติเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่คอยรบกวน
เกียรติยศและแรงบันดาลใจ
ผลงานเกียติยศนระดับสโมสร หลังจากกวาดความสำเร็จในอาร์เจนติน่า ไอมาร์ เดินทางไปพิชิตความสำเร็จในยุโรปด้วยแปดถ้วยรางวัลกับสองสโมสรในสเปนและโปรตุเกส
เขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบาเลนเซีย และห้าถ้วยรางวัลสำคัญกับ เบนฟิก้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาเล่นฟุตบอลได้สนุกที่สุดบนผืนดินยุโรป ทั้งหมดคือเส้นทางของเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกคุณพ่อคาดหวังให้เป็นนายแพทย์ แต่สุดท้ายเขาเลือกทำตามความฝันของตนเองโดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
เขาฟันฝ่าบนเส้นทางฝันด้วยความรักในสิ่งที่กำลังทำ เขามอบความสุขแก่ใครหลายคนด้วยสิ่งที่เขาคลั่งไคล้ จนมันกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่นักฟุตบอลรุ่นหลังอีกหลายคนที่เกิดความสุขทุกครั้งเมื่อเฝ้าดูเขาโลดแล่นบนสนามหญ้าผ่านหน้าจอทีวี
“เขาคือผู้เล่นที่ผมคอยเฝ้าดูมากที่สุดตอนเป็นเด็ก” ลิโอเนล เมสซี่ โดย เมสซี่ ยอมรับว่า ปาโบล ไอมาร์ คือแรงบันดาลใจในการเล่นฟุตบอลของเขา อีกทั้ง ปาโบล ไอมาร์ ยังเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ เมสซี่ เคยเอ่ยปากขอแลกเสื้อเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก…
การทำสิ่งที่รัก
“สิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นนักฟุตบอลหรอ ? นั่นคือการได้มีลูกบอลอยู่ที่เท้ายังไงล่ะ”
“คุณได้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนร่วมทีม ผ่านความสนุก และเสียงหัวเราะ ตลอดช่วงของการฝึกซ้อม นี่คือสิ่งที่ผมคิดถึงมาก กับการเป็นนักเตะอาชีพ”
“คุณไม่จำเป็นต้องไปเช่าสนามเตะด้วย เหมือนที่ผม กับเพื่อนทำอยู่ตอนนี้ คุณจะได้รับชุดแข่งอย่างดี และรองเท้าสตั๊ดที่ยอดเยี่ยม”
“ผมเคยกลับมาบ้าน พร้อมกับหิ้วสตั๊ดกลับมา 4 คู่ เพื่อนของผมแซวว่า -เมื่อก่อนนี้ นายสวมสตั๊ดคู่เดียวเป็นระยะเวลา 2 ปี ทำไมเดี๋ยวนี้ นายกลับมีตั้ง 4 คู่เลยล่ะ ?-“
“ผมอยากบอกว่า ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ผมได้มาเพราะการทำสิ่งที่รัก และใส่ใจกับสิ่งที่หลงใหล” ปาโบล ไอมาร์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปาโบล ไอมาร์ เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดที่เราเคยเห็น