หากจะกล่าวถึงวิวัฒนาการของฟุตบอลในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าสไตล์การเล่นบอลภาคพื้นดิน แลการต่อบอลแบบเท้าสู่เท้าน่าจะเป็นรูปแบบที่เป็นที่นิยมมากที่สุด อย่างไรก็ตามหากย้อนอดีตไปเมื่อราวๆ 20 กว่าปีก่อน
เกมลูกหนังส่วนใหญ่มักจะไม่ได้สนใจ เรื่องของรูปเกม และกลยุทธ์ต่างๆมากนัก แต่จะไปโฟกัสกับการใช้ลักษณะทางกายภาพของนักฟุตบอลเข้าห่ำหั่นกันมากกว่า โดยในอดีตที่ผ่านมา เรามักจะได้เห็นนักฟุตบอลร่างยักษ์มากมาย ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่เน้นไปที่ความคล่องแคล่วมากกว่า อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เล่นที่มีสรีระที่สูงใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหมดประโยชน์ไปเสียทีเดียว เพราะว่าเกมฟุตบอล มันไม่ได้เล่นแค่บนฟลอร์หญ้าเพียงอย่างเดียว
บอลเยอรมันโบราณ กับกองหน้าสไตล์ ยักษ์ ปัก หลั่น
แต่มันสามารถสร้างความได้เปรียบให้กับผู้เล่นตัวใหญ่ได้ ด้วยการเล่นลูกกลางอากาศนั่นเอง โดยในอดีตที่ผ่านมา แต่ละชาติก็มักจะมีกองหน้าในสไตล์โบราณไว้ยืนค้ำ ไว้คอยอัด และสร้างความยากลำบากให้กับกองหลังฝ่ายตรงข้าม แถมยังเป็นเป้าหมายการวางยาวของเพื่อนร่วมทีม ที่พร้อมจะไปวัดกันในกรอบเขตโทษ
ซึ่งแน่นอนว่าในอดีตที่ผ่านมา ทีมชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องของการเล่นลูกกลางอากาศมากที่สุดชาติหนึ่งของโลก ย่อมหนีไม่พ้นทัพ อินทรีเหล็ก ทีมชาติเยอรมนี ที่ขึ้นชื่อลือชาและช่ำชองการเล่นลูกโหม่งเอามากๆ และแทบทุกยุคทุกสมัยของพวกเขา มักจะมีกองหน้าร่างยักษ์ที่รับหน้าที่นี้ แบบไม่ขาดตอน เรียกได้ว่าจากรุ่นสู่รุ่นกันเลยทีเดียว
สำหรับ ทีมชาติเยอรมนี ในช่วงทศวรรษ 80-90 นั้นนอกจากจะมีสไตล์การเล่นที่แข็งแกร่ง ดุดัน ตามแบบฉบับคาแรกเตอร์ของพวกเขาแล้ว พลพรรค อินทรีเหล็ก ยังมีขีปนาวุธอย่าง โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ กองหน้าเจ้าของส่วนสูง 191 เซนติเมตรเป็นตัวชูโรง โดย เบียร์โฮฟฟ์ เริ่มเล่นฟุตบอลกับ ไบเออร์ เออร์ดิงเกน ในปี 1986 ก่อนตระเวนย้ายไปเล่นกับ ฮัมบูร์ก และ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
แต่ผลงานกลับน่าผิดหวัง อย่างไรก็ตามเมื่อ เบียรืโฮฟฟ์ ย้ายไปเล่นในประเทศเพื่อนบ้านกับ ออสเตรีย ซัลบวร์ก เจ้าตัวก็ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ทำให้ยักษ์แดนไส้กรอกรายนี้เป็นที่น่าจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆกับผลงานลงสนาม 33 นัดยิง 23 ประตูให้สโมสรจากออสเตรีย
จนกระทั่งปี 1991 อัสโคลี่ คือทีมที่มอบโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตการค้าแข้งให้กับ เบียร์โฮฟฟ์ ด้วยการดึงกองหน้าเมืองเบียร์รายนี้ มาวาดลวดลายในศึกลูกหนังแดนมะกะโรนี โดยแม้ว่าฤดูกาลแรกกับ อัสโคลี่ เบียร์โฮฟฟ์ จะไม่สามารถพาต้นสังกัดรอดพ้นจากการตกชั้นได้ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ย้ายหนีไปไหน อยู่รับใช้ อัสโคลี่ เป็นเวลาถึง 4 ฤดูกาลจารึกสถิติลงสนาม 117 ยิงไป 48 ประตู แถมยังรั้งตำแหน่งดาวซัลโวในฤดูกาล 1992-93 จากการกระหน่ำไป 20 ประตู
หัวเรดาร์พา มิลาน ครอง สคูเด็ตโต้ ฮีโร่ทีมชาติเยอรมัน
หลังจากนั้นในปี 1995 โอกาสครั้งสำคัญของ เบียร์โฮฟฟ์ ก็มาถึงเมื่อ อูดิเนเซ่ ที่มี อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี คุมทีมในเวลานั้นตัดสินใจเซ็นสัญญาคว้ากองหน้าเลือดเบียร์รายนี้ไปร่วมทีมในที่สุด ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงที่ เบียร์ดโฮฟฟ์ กำลังห้าวสุดๆ โดยตลอด 3 ซีซั่นในสีเสื้อ อูดิเนเซ เบียร์โฮฟฟ์ ลงสนามไป 96 นัดยิงไปถึง 32 ประตู
จากผลงานอันร้อนแรงของ เบียร์โฮฟฟ์ ส่งผลให้ชื่อเสียงของเขา ถูกพูดถึงไปทั่วอิตาลี จนถูกเรียกตัวติดทีมชาติเยอรมนี และได้โอกาสย้ายทีมอีกครั้ง ด้วยการเซ็นสัญญากับ เอซี มิลาน ในปี 1998 และเพียงฤดูกาล เบียร์โฮฟฟ์ ก็ซัดไป 21 ประตูจากการลงสนาม 31 เกมรวมทุกรายการ แถมยังเป็นการโหม่งทำประตูถึง 15 ประตู นับเป็นสถิติสูงสุดมาจนปัจจุบัน พร้อมกับพาทัพ ปีศาจแดง-ดำ เถลิงบัลลังก์แชมป์ สคูเด็ตโต้ ได้อย่างยิ่งใหญ่ในปีเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของสโมสรพอดี
โดยตลอด 3 ฤดูกาลในถิ่น ซาน ซิโร่ เบียร์โฮฟฟ์ ยิงไป 49 ประตูจากการลงสนาม 119 เกม หลังจากนั้นก็ย้ายไปเล่นเป็นช่วงสั้นๆกับทั้ง โมนาโก และ คิเอโว ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2003 ส่วนผลงานในนามทีมชาติ หลังจากที่ถูกเรียกติดธงครั้งแรกตอนค้าแข้งอยู่กับ อูดิเนเซ่ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ ก็แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว ด้วยการตะบันประตู โกลเด้นโกล พาทีมชาติเยอรมนี คว่ำ สาธารณรัฐเช็ก ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 คว้าแชมป์ยูโร 96 ที่อังกฤษ มาครองได้สำเร็จ
หลังจากนั้น เบียร์โฮฟฟ์ ก็เป็นกำลังของทัพ อินทรีเหล็ก ทีมชาติเยอรมนี มาโดยตลอด และมีโอกาสสวมปลอกแขนกัปตันทีมต่อจาก เจอร์เก้น คลิ้นมันส์ ในช่วงปี 1999-2000 หรือในศึกยูโร 2000 รอบคัดเลือก อย่างไรก็ตาม ศึก ยูโร 2000 รอบสุดท้าย เบียร์โฮฟฟ์ ได้ลงเล่นเกมแรกเพียงเกมเดียว และปลอกแขนกัปตันตกเป็นของ โอลิเวอร์ คาห์น ผู้รักษาประตูจาก บาเยิร์น มิวนิค ในนัดที่เหลือ
ตำนานจ้าวเวหา ก่อนหน้า เบียร์โฮฟฟ์
สำหรับเรื่องที่น่าสนใจของ ทีมชาติเยอรมัน นอกเหนือจากขีปนาวุธที่สร้างตำนานจ้าวเวหาอย่าง โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ แล้ว ทีมชาติเยอรมนี ถือเป็นโรงงานผลิตกองหน้าจ้าวเวหาชั้นดี ที่ส่งออกมาสู่ตลาดลูกหนังของเยอรมัน เพราะก่อนหน้าที่ เบียร์โฮฟฟ์ จะโด่งดัง ก็มีกองหน้าในคุณลักษณะเดียวกันในยุคก่อนหน้านั้นอย่าง ฮอร์สต ฮรูเบสช์ กุนซือทีมชาติหญิงของเยอรมันคนปัจจุบัน ที่ในอดีตก็เคยได้รับฉายาเป็นจ้าวเวหาของเยอรมันมาแล้ว
โดย ฮรูเบสช์ ผ่านการค้าแข้งในบุนเดสลีกา มาอย่างโชกโชน รวมทั้งล่าตาขายกับทั้ง ฮัมบูร์ก และพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาถึง 3 สมัย ,สตองดาร์ ลีแอช และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาแล้ว ส่วนในสีเสื้อทีมชาติ ฮอร์สต ฮรูเบสช์ อยู่ทีมชาติเยอรมันตะวันตก โดยลงเล่นไป 21 นัดยิงไป 3 ประตู ก่อนที่จะเข้าสู่ผลัดเปลี่ยน จากรุ่นสู่รุ่นถึง โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ ดังนั้นนับว่าเป็นโชคดีของเหล่าบรรดากองหลัง ที่ไม่ต้องรับมือกับ เบียร์โฮฟฟ์ และ ฮรูเบสช์ พร้อมกันในห้วงเวลาเดียวกัน
มิโรสลาฟ โคลเซ่ รับช่วงต่อสืบสานตำนานจ้าวเวหา
และอย่างที่กล่าวไปว่า ทีมชาติเยอรมนี มักจะมีกองหน้าสไตล์แบบนี้เป็นเครื่องหมายการค้า เพราะในยุคต่อมาก็มีจ้าวเวหาคนใหม่ที่มาสืบทายาทต่อจาก เบียร์โฮฟฟ์ นั่นก็คือ มิโรลสลาฟ โคลเซ่ หัวหอกผู้เกิดที่โปแลนด์ แต่เลือกที่จะรับใช้ทัพ อินทรีเหล็ก
โคลเซ่ ติดทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อปี 2001 และแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในศึก เวิลด์ คัพ 2022 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ หัวหอกรายนี้เหมาะสมกับฉายา จ้าวเวหา เป็นอย่างยิ่ง ด้วยการเทคตัวที่สูง และการลอยตัวอยู่กลางอากาศได้นาน ทำให้ โคลเซ่ อันตรายมากๆยามทะยานขึ้นโหม่ง โดยกองหน้าเชื้อสายโปแลนด์ ผ่านการค้าแข้งในศึกบุนเดสลีกา มาแล้วหลายทีมทั้ง ไกเซอร์สเลาเทิร์น ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ เวเดอร์ เบรเมน ,บาเยิร์น มิวนิค และย้ายไปแขวนสตั๊ดกับ ลาซิโอ ในอิตาลี เมื่อปี 2016
โคลเซ่ เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่คว้าทุกเหรียญรางวัลในฟุตบอลโลก และพิสูจน์ตัวเองว่ามีประโยชน์กับทุกทีมที่เขาเล่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โหม่งที่ดีที่สุดตลอดกาล ของวงการฟุตบอล
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค