ในช่วงรอยต่อระหว่างยุค 90 ถึง 2000 หากจะพูดถึงบรรดากองหน้าสปีด 9 ที่เป็นที่นิยมในเกมฟุตบอลยอดฮิตอันดับ 1 สัญชาติญี่ปุ่น ณ เวลานั้นอย่าง วินนิง อีเลฟเวน แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ เบบี้ โกล ไมเคิล โอเวน อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ที่เป็นหนึ่งในนักเตะยอดฮิตที่ทุกคนอยากใช้งานอย่างแน่นอน ด้วยสปีดเต็มกราฟ ค่าพลังการยิงประตูอันเฉียบคม มันสะท้อนมาจากตัวตนที่แท้ของกองหน้าร่างเล็กรายนี้แบบทุกกระเบียดนิ้ว
กองหน้าสปีด 9 ขวัญใจคอวินนิ่งยุครอยต่อ 90-2000
แน่นอนว่าในยุคนี้น่าจะมีเด็กไทย บั้นปลายวัยทีนจำนวนไม่น้อย ที่มีชื่อเล่นว่า โอเวน นั่นก็มีความเป็นไปได้ว่า คุณพ่อของเด็กๆเหล่านี้มี ไมเคิล โอเวน เป็นนักเตะในดวงใจ เพราะในสมัยที่กองหน้าเลือดผู้ดีรายนี้ยังลงล่าตาข่าย เจ้าตัวได้สร้างปรากฏการณ์และกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลอีกหนึ่งคน ของวงการลูกหนังอังกฤษ ณ เวลานั้นเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ เบบี้ โกล ยังสถาปนาตัวเองกลายเป็น 1 ใน 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดการของ พรีเมียร์ลีก ด้วยการรั้งงอันดับที่ 11 ในลิสต์ด้วย
ไมเคิล เจมส์ โอเวน เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1979 ที่เมืองเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ โดยเป็นบุตรชายของ เทอร์รี โอเวน อดีตผู้เล่นของ เอฟเวอร์ตัน นั่นจึงทำให้ โอเวน เป็นสาวก เอฟเวอร์โตเนียน ตามสายเลือดของผู้เป็นพ่อ โดยหลังจากที่เริ่มฝึกฟุตบอลกับคุณพ่อ โอเวน ก็ถูกส่งกับทีมเยาวชนที่ชื่อ “โมล์ด อเล็กซานดร้า”
และยิงประตูได้แบบเป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งอายุ 12 ปี หลังจากที่ โอเวน ย้ายมาเรียนที่ ฮาวาร์เด้น ไฮสคูล ในระดับ ระดับมัธยม ก็เริ่มมีแมวมองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ทั้ง อาร์เซนอล เชลซี รวมถึง ลิเวอร์พูล ที่มาดูผลงานของไอ้หนูรายนี้
เส้นทางของไอ้หนูเอฟเวอร์โตเนียน สู่รั้ว หงส์แดง
ก่อนที่จะเป็น สตีฟ ไฮเวย์ สต๊าฟฟ์จากอคาเดมีของ หงส์แดง ณ เวลานั้นได้ส่งจดหมายถึง เทอร์รี โอเวน ผู้เป็นพ่อ จนในที่สุดเป็น ลิเวอร์พูล ที่เบียดคู่แข่งคว้าตัว ไมเคิล โอเวน ไปร่วมทีมในปี 1991 ด้วยวัยเพียง 13 ปี ก่อนที่จะเริ่มเก็บเลเวลกับทัพ หงส์แดง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ช่วงปี 1995-96 โอเวน ในวัย 16 ปีถูกดันขึ้นไปเล่นกับทีมชุดอายุไม่เกิน 18 ปี และยังคงโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมยิงประตูไม่พักจนทัพ หงส์แดง ชุดเยาวชนพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร นอกจากนี้ โอเวน ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ไปครองในปีนั้นด้วย
และด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมนี้เองที่ทำให้ หงส์แดง ตัดสินใจจับ โอเวน เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพอย่างเป็นทางการในที่สุด ตัดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ อาร์เซน่อล
ปีต่อมา จากการที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ดาวยิงตัวชูโรงของ ลิเวอร์พูล ในตอนนั้นได้รับบาดเจ็บ ทำให้ โอเวน ถูก รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ดึงตัวมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ โดยในเดือนพฤษภาคมปี 1997 โอเวน ยิงประตูแรกของตัวเองกับ หงส์แดง ได้ในเกมประเดิมสนามกับ วิมเบิลดัน ที่สนามเซลเฮิร์ตส์ พาร์ค ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น
ปีทอง โอเวน ซิวบัลลงดอร์ หงส์แดง สอย ทริปเปิ้ลแชมป์
ฤดูกาล 1997-98 และทำให้ โอเวน ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงให้กับ ลิเวอร์พูล และเขาก็ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนทำให้บรรดา “เดอะ ค็อป” ลืม เดอะ ก็อด อย่าง ฟาวเลอร์ ไปสนิทใจ ซึ่งในฤดูกาลนั้น หงส์แดง จบที่อันดับที่ 4 ส่วน โอเวน กระหน่ไป 18 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ร่วมกับ คริส ซัตตัน และ ดิออน ดับลิน รวมทั้งได้รับตำแหน่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ด้วย
ฤดูกาล 1997-98 ประตูแรกบนเวทียุโรปของไอ้หนูวัย 17 ปีอย่าง ไมเคิล โอเวน ก็เกิดขึ้น โดยเป็นจังหวะที่ เบบี้ โกล ยกบอลข้ามผู้รักษาประตู โจนาธาน กูลด์ ของ เซลติก แบยนิ่งเกินเด็ก ช่วยให้ ลิเวอร์พูล บุกนำ เซลติก 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 6 ก่อนจบที่ผลเสมอ 2-2 ในศึกยูฟา คัพ รอบแรก นัดแรก
ในปี 2001 โอเวน ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เมื่อช่วยพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ คือ ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ โดยใน เอฟเอ คัพ โอเวน ช่วยยิง 2 ประตูทำให้ “หงส์แดง” พลิกแซงกลับมาเอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ พร้อมกับเบียด ราอูล กอนซาเลซ กองหน้าทีมชาติสเปนของ เรอัล มาดริด ผงาดคว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งนับเป็นนักเตะอังกฤษรายที่ 4
และเป็นรายล่าสุดที่เคยคว้ารางวัลเกียรติยศนี้ต่อจาก สแตนลีย์ แมทธิวส์ บ็อบบี้ ชาล์ตัน และ เควิน คีแกน ผลงาน 24 ประตูรวมทุกรายการ โดยเป็นนักเตะในสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 20 ปี ที่คว้ารางวัลนี้มาครองได้สำเร็จ
สู่ความท้าทายใหม่ เหตุผลทำร้ายจิตใจ เดอะ ค็อป
ปี 2004 โอเวน หยุดสถิติการลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ไว้ที่ 297 นัดยิงไป 157 ประตูรวมทุกรายการ พร้อมกับคว้าแชมป์กับ หงส์แดง แทบจะทุกรายการ แต่สำหรับศึกพรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนสลีก ดูเหมือนว่า โอเวน จะมองว่ามันน่าจะไกลเกินฝันไปหน่อยสำหรับทีมอย่าง ลิเวอร์พูล สุดท้าย โอเวน ใช้เหตุผล ”หาความท้าทาย” ด้วยการเดินจากไป ทิ้งให้เหล่าบรรดา เดอะ ค็อป ต้องใจสลายไปตามๆกัน
สุดท้ายกลายเป็น เรอัล มาดริด ทีมมหาอำนาจของสเปน ทุ่มเงิน12 ล้านปอนด์ และแถม อันโตนิโอ นูนเยซ มาให้ ลิเวอร์พูล เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นลายเซ็นของ ไมเคิล โอเวน อย่างไรก็ตามการไปพุ่งชนความท้าทายใหม่ของ โอเวน ใช่ว่าเส้นทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ
เพราะในเวลานั้นทัพ ราชันชุดขาว เต็มไปด้วยเหล่าซุเปอร์สตาร์ขั้นเทพมากมาย โดยเฉพาะในแดนหน้าที่มียอดนักเตะอย่าง ราอูล และ โรนัลโด ยึดสัมปทานอยู่ ทำให้ โอเวน ได้รับโอกาสลงสนามไม่มากเท่าที่ควร แต่ก็ยังอุตส่ายิงไปถึง 13 ประตูในลีก แม้ว่าสุดท้าย มาดริด จะจบฤดูกาลแบบไร้แชมป์ติดมือ ทั้งที่ทุ่มทุนสร้างไปมหาศาล
ในห้วงเวลาเดียวกัน อดีตต้นสังกัดอย่าง ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของกุนซือชาวสเปนอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ ก็ประกาศศักดาคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ทันทีที่ โอเวน ออกจากถิ่น แอนฟิลด์
ซีซั่นต่อมา มาดริด คว้าตัว โรบินโญ่ และ อันโตนิโอ คาสซาโน่ รวมถึง ชูลิโอ บาปติสต้า เข้ามาเสริมเขี้ยวเล็บ ทำให้สถานการณ์ของ โอเวน ตกที่นั่งลำบาก ต้องมองหาหนทางย้ายกลับมาเล่นในอังกฤษ อีกครั้ง ซึ่งในตอนแรกมี ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน เป็นตัวเต็งที่จะคว้าตัวกลับมาร่วมทีม
แต่จากการที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ทำตัวรู้ใจ เหล่าสาวก เดอะ ค็อป จึงปฏิเสธในการคว้าตัว โอเวน กลับ แอนฟิลด์ และในที่สุดเป็น นิวคาสเซิล ที่ทุบกระปุกเป็นสถิติสโมสรกระชากตัวดาวยิงทีมชาติอังกฤษรายนี้กลับมาด้วยค่าตัว 17 ล้านปอนด์
อาการบาดเจ็บตามหลอกหลอนในช่วงเวลากับ สาลิกาดง
อย่างไก็ตาม โอเวน ต้องเจออุปสรรคก้อนโต เมื่อโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานจนสะบักสะบอมและต้องเข้ารับการผ่าตัด จึงแทบไม่เหลือสภาพยอดดาวยิงทีมชาติอังกฤษอยู่เลย แม้ว่าในช่วงเริ่มต้นกับทัพ สาลิกาดง เบบี้ โกล จะทำผลงานได้น่าประทับใจก็ตาม
เข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 ของ โอเวน กับ นิวคาสเซิ่ล ดูเหมือนว่าจะถึงทางตัน เพราะ สาลิกาดง มีอันต้องร่วงตกชั้นลงไป ทำให้ โอเวน ตัดสินใจไม่ต่อสัญญา พร้อมกับจารึกสถิติไว้ที่การลงสนาม 31 นัดยิงไป 10 ประตูและตลอด 3 ปีในถิ่น เซนต์ เจมส์พาร์ค เขาทำไปได้ 30 ประตูรวมทุกรายการเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าความคาดหวังของสโมสร
ก่อนหน้าหากยังจำกันได้ โอเวน เคยหักอกสาวก เดอะ ค็อป จากการตัดสินใจอำลาถิ่น แอนฟิลด์ เพื่อไปเล่นให้กับ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2004 แต่ที่ชอกช้ำหนักไปกว่านั้นก็คือการที่ โอเวน ย้ายไปเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2009 สัญญา 2 ปี ซึ่งนั่นทำให้แฟนบอล “หงส์แดง” บางคนเลือกที่จะลืมชื่อ โอเวน จากเมมโมรี่ไปเลยก็มี
ซึ่ง โอเวน เซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 ปี พร้อมสวมหมายเลข 7 ต่อจากตำนานอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้ ที่ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในช่วงเวลาเดียวกัน
ฝันเป็นจริงเสียทีแชมป์พรีเมียร์ลีกกับทัพ ปีศาจแดง
ที่สำคัญ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ชื่นชอบ โอเวน มานานแล้ว โดยเรื่องดังกล่าว เฟอร์กี้ ได้เขียนเอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติว่า “ตอนที่ผมได้ยินว่า นิวคาสเซิ่ล พร้อมที่จะปล่อยโอเวน ออกจากทีม ผมรีบดำเนินการคุยเกี่ยวกับการให้เขามาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทันที ผมกับสตาฟฟ์เชื่อว่าเขาจะทำได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับตอนเล่นให้ นิวคาสเซิ่ล เมื่อเขามาอยู่กับ ยูไนเต็ด”
“โอเวน มีอิทธิพลอย่างมากกับกองหน้าที่อายุน้อยอย่างเช่น เวย์น รูนี่ย์ และ แดนนี่ เวลเบ็ค ด้วย การทะลวงแนวรับของเขา และความเยือกเย็นในการจบสกอร์ มันก็ทำให้ผมนึกถึง จิมมี่ กรีฟส์ ผมสบถคำหยาบเยอะมากจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำอย่างนั้นไปกี่ครั้งในตอนที่ ลิเวอร์พูล ได้ตัวเขาไป”
ตลอดปีแรกในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด โอเวน ในวัย 30 ปี ยิงได้ถึง 4 ประตูจาก 6 เกมที่ลงสนาม แต่ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของฤดูกาล ดันมาได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวและจบฤดูกาลด้วยผลงาน 9 ประตูรวมทุกรายการ แต่ยังสามารถคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ มาครองได้สำเร็จในปีนั้น
ฤดูกาล 2010-11 แน่นอนว่าเป็นฤดูกาลที่ โอเวน รอคอยอีกครั้ง หลังจากที่ เฟอร์กี้ พาทัพ ปีศาจแดง แผลงฤทธิ์ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และนับเป็นโทรฟี่ลีกสูงสุดครั้งแรกของเจ้าตัวด้วย เท่านั้นยังไม่พอ โอเวนยังเกือบเป็นแชมป์ยุโรปร่วมกับทีม
แต่สุดท้ายแพ้ บาร์เซโลน่า ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนสลีก ในปีนั้น หลังจบฤดูกาล โอเวน ใช้ออปชั่นขยายสัญญากับ ปีศาจแดง เพิ่มอีกหนึ่งปี แต่เจ้าตัวก็แทบไม่มีส่วนร่วมกับสโมสรเลยในปีนั้นได้ลงเล่นไปเพียง 4 เกมเท่านั้น
ฉากสุดท้ายกับ สโต๊ค ซิตี้ ที่ไปเอาแค่สถิติ
จนในฤดูกาล 2012-13 เจ้าตัวตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ สโต๊ค ซิตี้ ทำได้ 1 ประตูจากการลงสนาม 8 เกม และประกาศแขวนสตั๊ดไปในปี 2013 ปิดฉากตำนานดาวยิงความเร็วสูงไปด้วยผลงาน 150 ประตูจากการลงสนามในลีก 326 เกมมาที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 11 ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก
ขณะที่ผลงานการรับใช้ ทีมชาติอังกฤษ ของ โอเวน โดยตลอด 14 ปีที่ โอเวน มีโอกาสได้เป็นตัวแทนทีมชาติอังกฤษ เจ้าตัวลงเล่นในทัวร์นาเมนต์สำคัญระดับชาติถึง 5 รายการได้แก่ ฟุตบอลโลก 1998, 2002 และ 2006 กับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ “ยูโร” 2000 และ 2004
โอเวน ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในนัดที่แพ้ ชิลี ในเกมอุ่นเครื่อง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1998 หลังจากนั้น โอเวน มาทำประตูแรกให้กับทีมชาติอังกฤษ ได้สำเร็จ ในนัดอุ่นเครื่องกับ โมร็อกโก จนเป็นเจ้าของสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ทีม “สิงโตคำราม” ได้ ด้วยวัย 18 ปี กับ 59 วัน ก่อนจะมาโดน เวย์น รูนี่ย์ ทำลายสถิตินี้ลงได้ในเวลาต่อมา
เส้นทางสู่ทัพ สิงโตคำราม
โอเวน ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ด้วย แม้ว่าจะไปฐานะตัวสำรอง แต่เขาก็สามารถยิงประตู โรมาเนีย ในรอบแรก โดยเฉพาะแมตช์ที่พบกับ อาร์เจนตินา ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ทำให้ โอเวน ดังเป็นพลุแตก เพราะเจ้าตัวโชว์การยิงประตูสุดมหัศจรรย์ กระชากบอลกว่าครึ่งสนามก่อนจะหลุดเข้าไปตะบันใส่ทัพ ฟ้า-ขาว แบบที่เรียกได้ว่าคนดูอ้าปากค้างกันทั้งสนาม
แม้สุดท้ายแล้ว อังกฤษ ต้องตกรอบเนื่องจากแพ้การดวลจุดโทษให้กับ อาร์เจนตินา ก็ตาม แต่ประตูของ โอเวน ยังคงติดตาและอยู่ในความทรงจำของเหล่าแฟนบอลทั่วโลก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้รับการโหวตคว้ารางวัลบุคคลกีฬาแห่งปีของ BCC
โอเวน กล่าวถึงประตูมหัศจรรย์กับ ทีมชาติอาร์เจนติน่าว่า “ประตูนั้นเปลี่ยนชีวิตของผม เมื่อคุณยิงประตูแบบนั้นได้ ทั่วโลกเปลี่ยนมุมมองในตัวคุณ แม้ผมจะเชื่อมั่นในความสามารถของผมก็ตาม แต่ทุกๆ คนรู้จักผมจากช่วงเวลานั้นจริงๆ”
หลังจากนั้น โอเวน ก็ค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ ไปในที่สุด ในศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน โอเวน ยิงไม่ได้เลย แถมได้รับบาดเจ็บอยางรุนแรงถึงขั้นเอ็นหัวเข่าฉีก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำให้ฟอร์มการเล่นของ โอเวน จกลงไปอย่างน่าใจหาย ปี 2007 โอเวน ยิงประตูในเกมพบ อิสราเอล ที่สนามนิว เวมบลีย์ ในเดือนกันยายน 2007
และกลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงประตูให้ทีมชาติได้ทั้งสนามเวมบลีย์เดิม และใหม่ ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติที่เจ้าตัวไม่เคยลืม
ตำนาน หงส์แดง ผู้ถูกเหล่า เดอะ ค็อป ลบออกจากความทรงจำ
ตลอดช่วงระยะเวลาที่ค้าแข้งตั้งแต่เป็นลูกหม้อของ ลิเวอร์พูล จนกระทั่งระหกระเหินไปจบอาชีพนักเตะกั สโต๊ค ซิตี้ โอเวน ได้สร้างผลงานชั้นยอดเอาไว้มากมาย และทำให้เขาได้รับการเชิดชูว่าเป็นกองหน้าชาวอังกฤษที่เก่งที่สุดในยุคของเขา
แต่สิ่งที่ทำให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล ช้ำใจที่สุดก็คือการที่ โอเวน เลือกที่จะเซ็นสัญญากับ คู่อริตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยแม้ว่าการเล่นให้ ปีศาจแดง จะเป็นการทำลายความรู้สึกของแฟนบอล ลิเวอร์พูล แต่มันก็ช่วยเติมเต็มความสำเร็จของเขาเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารอคอยมานาน
แม้ว่าอาชีพพ่อค้าแข้งของ โอเวน อาจจะไปไม่สุด อย่างที่หลายคนตั้งความหวังเอาไว้ และหลายคนอาจจะมองว่า โอเวน เจอปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานจนไปได้ไม่สุด แต่สำหรับเหล่าบรรดา เดอะ ค็อป แฟนบอล ลิเวอร์พูล แล้ว พวกเขายืนยันเหตุผลเดียวที่มีให้กับ โอเวน นั่นก็คือ เบบี้ โกล คิดผิดตั้งแต่ ตัดสินใจย้ายออกจากถิ่น แอนฟิลด์ นั่นเอง
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค