หากจะเอ่ยถึงสุดยอดนักเตะที่ถนัดเท้าซ้ายสักคน ในช่วงยุค 90 หลายคนอาจมีนักเตะที่ชอบ และความทรงจำที่แตกต่างกันไป แต่หากโฟกัสให้แคบลงมาอีกหน่อยสำหรับแข้งอีซ้ายแห่งศึกลา ลีกา สเปน แน่นอนว่าหลายคนน่าจะนึกถึง ฮูโก้ ซานเชซ ,ราอูล กอนซาเลส และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส แห่งทัพ ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด
ในขณะที่ฝั่งของคู่ปรับตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า ในช่วงยุค 90 ก็มีแข้งอีซ้ายตัวฉกาจอย่าง จอร์จี้ ฮาจี้ จอมทัพโรมาเนีย รวมไปถึงอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากในถิ่น คัมป์นู อย่าง ฮริสโต สตอยช์คอฟ ดาวยิงบัลแกเรียน ที่ร้อนแรงถึงขนาดคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ไปครอง
โด่งดังคับบ้านเกิด ฟอร์มระเบิดกับ บาร์เซโลน่า
ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ เกิดที่เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ ปี 1966 1982 จากนั้นเข้าศูนย์ฝึกทีมในถิ่นเกิดอย่าง มาริตซา พลอฟดิฟ ด้วยวัย 11 ปี ก่อนที่ในปี 1982 สตอยช์คอฟ จะย้ายไปที่ เฮบรอส ฮาร์มานลีซึ่งเขายิงได้ 14 ประตูในระดับ 3 ของบัลแกเรีย โดย สตอยช์คอฟ เริ่มเป็นที่รู้จักตอนย้ายไปร่วมงานกับ ซีเอสเคเอ โซเฟีย ยักษ์ใหญ่ในลีกของบัลแกเรีย โดยที่ สตอยช์คอฟ คว้าแชมป์ลีกกับทีมได้ 3 สมัยจาก 6 ปีกับพี่เบิ้มแห่งแดนโยเกิร์ต
สตอยช์คอฟ เป็นกองหน้าโดยธรรมชาติ แต่ด้วยทักษะลูกหนังที่เต็มเปียบไปด้วยเทคนิคผสมกับการอ่านเกมที่เก่งกาจ ทำให้เจ้าตัวกลายมารับบทบาทตัวรุก หรือเป็นกองหน้าตัวต่ำ ซึ่งนั่นก็ทำให้ สตอยช์คอฟ มีผลงานอันยอดเยี่ยม ทั้งยิงทั้งจ่าย ตะบันไป 38 ประตูจากการลงสนาม 30 นัด ในเกมลีกฤดูกาล 1989-90 พร้อมผงาดคว้ารางวัลดาวซัลโวของลีกยุโรป อย่างน่าทึ่ง จนทำให้ ซีเอสเคเอ โซเฟีย นั้นเล็กเกินไปแล้วสำหรับเขาไปแล้วนอกจากนี้ผลงานของ สตอยช์คอฟ ยังทำให้เจ้าตัวก้าวขึ้นไปติดธงทีมชาติบัลแกเรีย ชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 1989 ด้วย
และตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันเอาไว้ว่าลีกบัลแกเรีย นั้นเล็กเกินไป สำหรับกองหน้าอีซ้ายพิฆาตอย่าง สตอยช์คอฟ เมื่อ บาร์เซโลน่า ยอดทีมจากสเปนกุนซืออย่างภายใต้การคุมทีมของบรมกุนซือย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ คว้าตัวกองหน้าบัลแกเรียนเข้าสู่ถิ่น คัมป์ นู ในปี 1990 และสถาปนาตัวเองก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของ เจ้าบุญทุ่ม ได้ในทันที โดยเพียงขวบปีแรกกับ บาร์ซ่า สตอยช์คอฟ ซัดไปถึง 22 ประตูจากการลงสนาม 38 เกมรวมทุกรายการ
หัวโจก เจ้าบุญทุ่ม แท็คทีมแข้งระดับพระกาฬ
สตอยช์คอฟ ประสบความสำเร็จในถิ่น คัมป์นู อย่างมากโดยในช่วงเวลา 5 ปี สตอยช์คอฟ สามารถคว้าแชมป์ ลาลี กา ได้ถึง 4 สมัย และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ มาครอง อีก 1 สมัย ซึ่ง ณ เวลานั้น สตอยช์คอฟ ได้ร่วมงานกับสตารชั้นนำที่อยู่ในความทรงจำหลายคนด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็น โจเซฟ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ,โรนัลด์ คูมัน ,ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป ,จอร์จี้ ฮาจี้ รวมทั้ง โรมาริโอ กองหน้าทีมชาติบราซิลที่เป็นคู่หูล่าตาข่ายในแดนหน้า
ทั้งทักษะและไหวพริบ รวมทั้งความฉลาดหลักแหลม ทำให้ยามอยู่สนาม สตอยช์คอฟ ถือเป็นผู้เล่นที่มีพิษสงรอบตัว ทำได้เกือบทุกอย่างทั้ง เลี้ยง ส่ง โหม่ง ยิง ฟรีคิก หรือแม้กระทั่งการรับหน้าที่สังหารจุดโทษ นอกจากนี้ สตอยช์คอฟ ยังสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง ก่อนที่จะย้ายมาเล่นให้ตำแหน่งกองหน้านั้นแข้งรายนี้ได้เล่นในตำแหน่งปีก และจอมทัพมาก่อน
สตอยช์คอฟ กลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ บาร์เซโลนาคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1992 และในปีเดียวกัน บาร์เซโลนา ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกอีกรายการด้วยกัน โดย สตอยช์คอฟ ยิง 2 ประตูในนัดสุดท้ายของฤดูกาล พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ต่อเนื่องมาจนถึงการคว้าแชมป์ได้ทั้งปี 1993, 1994 และ 1995 โดยตลอด 5 ซีซั่นในสีเสื้อ เจ้าบุญทุ่ม สตอยช์คอฟ ลงสนามไปทั้งสิ้น 214 ตะบันไป 108 ประตูรวมทุกรายการ
พา บัลแกเรีย ช็อคโลกคว้าอันดับ 4 ที่ USA
สตอยช์คอฟ ไม่เพียงแค่เจิดจรัสในสรเสื้อของ บาร์เซโลน่า เท่านั้น เพราะเจ้าตัวยังกลายเป็นที่จดจำของแฟนบอลทั่วโลกจากฟอร์มการเล่นสุดอลังการ ในรายการฟุตบอลโลกปี 1994 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นขุนพลแดนโยเกิร์ต เกือบจะเอาตัวไม่รอดในรอบคัดเลือก ที่ทีมชาติบัลแกเรีย อยู่ในกลุ่มสุดหิน ที่มีทั้ง สวีเดน และ ฝรั่งเศส โดยจะมีเพียง 1 ทีมที่ต้องอกหักพลาดตั๋วไปวาดลวดลายที่แดนมะกัน
ซึ่ง ทีมชาติบัลแกเรีย ต้องลุ้นจนถึงนัดสุดท้าย ในเกมที่ต้องบุกไปเจอกับ ทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งนำทัพโดย เอริค คันโตน่า ณ สนาม ปาร์ค เดอ แพร็งส์ และแม้ว่าเกมแรก บัลแกเรีย ที่มี สตอยช์คอฟ เป็นตัวชูโรงจะเปิดบ้านเอาชนะมาได้ก่อน 2-0 แต่สำหรับเกมนัดที่ 2 เกจิทุกสำนักต่างเชื่อกันว่าทัพ ตราไก่ จะเอาคืนแบบทบต้นทบดอกอย่างแน่นอน
แต่สุดท้ายปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ เอมิล คอสตาดินอฟ ที่เหมาสองประตูในเกมนี้ และยังเป็นประตูชัยที่พา บัลแกเรีย ช็อคโลกด้วยการบุกมาคว้าตั๋ว เวิลด์คัพ รอบสุดท้าย ต่อหน้าต่อหน้าแฟนบอลทัพ ตราไก่ ทั้งประเทศ
ฟุตบอลโลก 1994 สตอยช์คอฟ สวมเสื้อหมายเลข 8 เป็นหัวใจสำคัญของ บัลแกเรีย ที่มาในฐานะทีมนอกสายตา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า ความลงตัวในทีมชุดนั้น ผสมประสานกับฟอร์มการถล่มประตูอันเข้าฝักของ สตอยช์คอฟ ทำ บัลแกเรีย ให้จบอันดับที่ 4 ได้อย่างน่าตื่นตะลึง โดยรอบแบ่งกลุ่ม สตอยช์อฟ ยิงไป 3 ประตูแบ่งเป็นยิง 2 ประตูในเกมที่ชนะ กรีซ 4-0 และอีก 1 ประตูมาจากเกมที่ล้มยักษ์อย่าง อาร์เจนติน่า 2-0
ขณะที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่พบกับ เม็กซิโก สตอยช์คอฟ ก็ยิงได้ในเวลา ก่อนจะเสมอกันไป 1-1 และก็เป็น บัลแกเรีย ที่ดวลจุดโทษเอาชนะขุนพลแดนจังโก้ พร้อมกับผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับกระดูกชิ้นโตอย่าง ทีมชาติเยอรมัน ซึ่งเป็นแชมป์เก่าและเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆในบอลโลกนั้น แต่สุดท้ายก็มาโดนทีเด็ดของ สตอยช์คอฟ ที่ยิง 1 ประตู เป็นประตูตีเสมอ 1-1 โดยมาจากลูกฟรีคิกที่ปั่นด้วยอีซ้ายข้ามกำแพงไปอย่างสุดสวย
และแม้ว่า บัลแกเรีย จะแพ้ อิตาลี 1-2 ในรอบรองชนะเลิศ และจบด้วยอันดับ 4 จากการแพ้ สวีเดน 0-4 ในนัดสั่งลา แต่ถึงกระนั้น สตอยช์คอฟ ก็ยังสามารถยิงประตูได้ในเกมรอบตัดเชือก โดยเป็นการยิงตีเสมอขุนพล อัซซูรี่ 1-1 ซึ่งประตูดังกล่าวทำให้ ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ กระหน่ำประตูในฟุตบอลโลกคราวนี้ไปมากถึง 6 ประตู ส่งผลให้เขาคว้ารางวัลดาวซัลโวฟุตบอลโลกร่วมกับ โอเล็ก ซาเลนโก้ กองหน้าทีมชาติรัสเซียในศึก USA 94
ไปกันต่อ คว้าบัลลงดอร์ ในปีเดียวกัน
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อความร้อนแรงของ สตอยช์คอฟ ยังทำห้เจ้าตัสผงาดคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ในปี 1994 มาครองได้ด้วย โดยได้รับผลโหวตเหนือ โรแบร์โต้ บาจโจ้ และ เปาโล มัลดินี่ 2 สตาร์ทีมชาติอิตาลี ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลพวงมาจากฟอร์มอันสุดยอดในศึก USA 94 แต่เคล็ดลับแท้จริงที่ทำให้ บัลแกเรีย ประสบความสำเร็จ ย่อมเป็นสปิริตและหัวใจที่สู้ไม่ถอยของนักเตะทีมชาติบัลแกเรีย ที่เป็นหนึ่งในเรื่องราวม้ามืดที่ดีที่สุดของโลกลูกหนัง ตราบจนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามฤดูกาล 1995-96 สตอยช์คอฟ ดันไปมีปากเสียงกับ โยฮัน ครัฟฟ์ กุนซือของ บาร์ซ่า จนต้องย้ายไปอยู่กับ ปาร์ม่า ในอิตาลีด้วย รูปแบบการยืมตัว อย่างไรก็ตาม สตอยช์คอฟ ก็อยู่ที่ อิตาลีได้แค่ปีเดียว เขาก็ต้องย้ายกลับมาเล่นให้ บาร์เซโลน่า อีกครั้ง เนื่องจาก เจ้าบุญทุ่ม ไม่สามารถผลิตสกอร์ได้เหมิอนกับตอนที่ สตอยช์คอฟ ยังอยู่กับทีม
สำหรับการกลับมาแดนกระทิงคำรบที่ 2 แม้ สตอยช์คอฟ จะยิงไปเพียง 8 ประตูจากการลงสนาม 35 เกมรวมทุรายการ แต่เจ้าตัวถือเป็นส่วนสำคัญของทีม กลับมาสร้างผลงานกระฉ่อนเหมือนเดิมด้วยการพา บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ สแปนิช คัพ และ คัพ วินเนอร์ คัพ ในปี 1997
ฉากสุดท้ายในสีเสื้อ เจ้าบุญทุ่ม
โดยในปี 1998 สตอยช์คอฟ ตัดสินใจย้ายออกจาก บาร์ซ่า เพื่อกลับไปค้าแข้งในบ้านเกิด โดยเขากลับไปร่วมทัพ ซีเอสเคเอ โซเฟีย ทีมที่ช่วยให้เขาแจ้งเกิดในวงการลูกหนังได้อย่างสวยงาม และในปีเดียวกันนี้เอง เขาก็เล่นฟุตบอลโลก เป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย ก่อนที่เขาจะตัดสินใจประกาศเลิกเล่นให้ทีมชาติ บัลแกเรีย
จากนั้น สตอยช์คอฟ ก็ตระเวนไปเล่นตามสถานที่ต่างๆทั้งการย้ายไปเล่นให้กับ คาชิวะ เรย์โซล ในศึกเจลีก ของประเทศญี่ปุ่น ต่อด้วยการย้านไปเล่นให้กับ ชิคาโก้ ไฟร์ และ ดี.ซี.ยูไนเต็ด ในศึกเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะตัดสินใจแขวนสตั๊ด เมื่อปี 2003 ด้วยวัย 37 ปี
หลังเลิกเล่นไปแล้ว เรายังเห็น สตอยช์คอฟ วนเวียนทำงานในบทบาทโค้ชเรื่อยมาจนถึงปี 2013 ซึ่งก็มีช่วงที่ร่วมงานกับอดีตต้นสังกัดอย่าง บาร์ซ่า ในฐานะโค้ชกองหน้า รวมถึงคุม ทีมชาติบัลแกเรีย ช่วงระหว่างปี 2004-2007 อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าชีวิตการคุมทีมของ สตอยช์คอฟ จะไม่รุ่งเหมือนกับสมัยตอนเป็นนักเตะ เพราะเจ้าตัวพาทีมชาติบัลแกเรีย ตกรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2006
ชีวิตหลังแขวนสตั๊ด เป็นโค้ชไม่รุ่ง
แถมยังทีมผ่านรอบคัดเลือกศึกยูโร 2008 จากนั้น สตอยช์คอฟ ก็ถูกให้บีบออกจากการคุมทีมชาติบัลแกเรีย ในที่สุด หลังจากนั้นเขาได้เข้าไปรับหน้าที่คุมทีม เซลต้า บีโก้ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะโดนไล่ออกจากตำแหน่ง ในเดือนตุลาคม ปี 2007 ต่อมาในเดือน มิถุนายน 2009 สตอยช์คอฟ ย้ายไปที่ มาเมโลดี้ ซันดาวน์ส ในลีกของประเทศแอฟริกาใต้ แทนที่ อแงนี มิตเชล และประกาศลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 16 มีนาคม 2010 หลังคุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียว
ปี 2011 สตอยช์คอฟ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำเขตปกครองตนเองอย่างคาตาโลเนีย และอารากอน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปน โดย นิโคลาย มลาเดนอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของบัลแกเรีย เชื่อว่า สตอยช์คอฟ จะคอยช่วยเหลือชาวบัลแกเรียในสเปนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในปีเดียวกัน สหพันธ์ฟุตบอลเวียดนาม ได้เชิญ สตอยช์คอฟ ให้มาเป็นกุนซือทีมชาติเวียดนาม แต่ สตอยช์คอฟ ได้ตอบปฏิเสธ
ในฤดูกาล 2011–12 สตอยช์คอฟ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับ รอสตอฟ ในรัสเซีย ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม ลิเท็ค โลเวคช์ ในลีกบ้านเกิด แทนที่ เลียวโบสลาฟ เปเนฟ ซึ่งลาออกไปคุมทีมชาติบัลแกเรีย ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2013 สตอยช์คอฟ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม ซีเอสเคเอ โซเฟีย อดีตทีมอู่ข้าวอู่น้ำของตัวเอง แต่ก็ได้อยู่ตำแหน่งได้เพียง 1 เดือน ก็ประกาศลาออกหลังจากมีปัญหาเรื่องแนวทางกับบอร์ดบริหาร
สตอยช์คอฟ เป็นนักเตะบัลเกเรีย ที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และแน่นอนนี่คือหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลในช่วงรอยต่อปลายยุคปี 90 จนถึงต้นยุคปี 2000 จดจำได้มากที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค