หลังจากที่มีการนำเสนอเรื่องราวของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส อดีตแบ็คซ้ายตีนระเบิดตำนานทีมชาติบราซิลไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เชื่อกันว่าน่าจะทำเอาเหล่าบรรดาคอบอลรุ่น 30+ อยากหยิบ Play Station รุ่นแรกๆมาปัดฝุ่นใส่แผ่นเกมฟุตบอลยอดฮิตอย่าง วินนิ่ง อีเลฟเว่น เล่นรำลึกนักเตะในอดีตกันอย่างแน่นอน

กองหน้าขวัญใจชาววินนิ่ง กาเบรียล บาติสตูต้า

หลังจากที่มีการนำเสนอเรื่องราวของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส อดีตแบ็คซ้ายตีนระเบิดตำนานทีมชาติบราซิลไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เชื่อกันว่าน่าจะทำเอาเหล่าบรรดาคอบอลรุ่น 30+ อยากหยิบ Play Station รุ่นแรกๆมาปัดฝุ่นใส่แผ่นเกมฟุตบอลยอดฮิตอย่าง วินนิ่ง อีเลฟเว่น เล่นรำลึกนักเตะในอดีตกันอย่างแน่นอน

ซึ่งนอกจาก โรแบร์โต้ คาร์ลอส และ โรนัลโด้ 2 ตัวพ่อแห่งทีมชาติบราซิลที่มักถูกจับมายืนคู่กันในตำแหน่งกองหน้าแล้ว ยังมีอีกหนึ่ง ตัวบั๊ค ของวงการ วินนิ่ง ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสุดยอดกองหน้า ที่ยิงแรงที่สุดในเกมวินนิ่ง 3 คือเรียกว่าถอดการยิงมาจากตัวจริงเลยก็ว่าได้ เพราะตอนที่ บาติสตูต้า ค้าแข้งให้กับ ฟิออเรนติน่า และ โรม่า เจ้าตัวก็จัดว่าเป็นนักเตะที่ยิงแรงสุดๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว จนค่าพลังในเกม โดยเฉพาะค่าพลังการยิงอยู่ที่ยิง 9 แม่นยำ 9

บาติสตูต้า คือนิยามของคำว่า กองหน้าตัวเป้า หรือตัวจบสกอร์ ที่มักใช้จังหวะกับบอลให้น้อยที่สุด รวมไปถึงความเฉียบขาดในการสังหารประตู นอกจากนี้ บาติโกล ยังเป็นนักฟุตบอลที่มีสไตล์การเล่นที่ห้าวหาญ แข็งแกร่ง เป็นเลิศทั้งการเล่นลูกกลางอากาศ และภาคพื้นดิน ซึ่งนั่นมันก็เพียงพอเเล้วกับการเล่นในตำเเหน่งศูนย์หน้าตัวเป้า ในยุค 90

จุดเริ่มต้น บาติโกล

บาติสตูต้า เกิดที่รีคอนดิสต้า ,อาร์เจนติน่า โดยเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านกีฬาเป็นเต็มเปี่ยม จนกระทั่งการเป็นแชมป์โลก ปี 1978 มันสร้างแรงบันดาลใจให้ไอ้หนูตีนหนักใฝ่ฝันอยากเป็นนักฟุตบอล โดยมี มาริโอ เคมเปส เป็นไอดอลในวัยเด็ก และได้รับโอกาสเข้าสู่สโมสร Gripo Alegria ซึ่งเป็นทีมท้องถิ่น ก่อนที่จะถูกแมวมองของ นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ชักชวนให้ไปทดสอบฝีเท้าและก็ผ่านการคัดเลือกได้เซ็นสัญญาเข้าสู่ทีมในปี 1988 ภายใต้การคุมทีมของ มาร์เซโล บิเอลซ่า

ก้าวแรกสู่ฟุตบอลอาชีพของ บาติสตูต้า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งการปรับตัวกับทีมใหม่ และดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุขนัก เมื่อต้องจากบ้าน ครอบครัว และแฟนสาวมาอยู่เพียงลำพัง บ่อยครั้งเค้าต้องนอนที่สนามฟุตบอล และด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทำให้ความเร็วในการเคลื่อนตัวก็ค่อยๆลดลง จนในที่สุดก็ถูกปล่อยตัวให้ทีมเล็กๆ อย่าง เดปอร์ติโว อิตาเลียโน ยืมตัวไปใช้งาน ซึ่ง บาติสตูต้า ทำได้ 3 ประตู และเริ่มได้ความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่มากขึ้น

จนในปี 1990 ได้ย้ายไปอยู่กับทีมที่ใหญ่ขึ้นอย่าง ริเวอร์เพลท แต่สุดท้ายก็ดันมามีปัญหากับ ดาเนียล พาสซาเรลล่า กุนซือของทีมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจอมเฮี้ยบคนหนึ่งของวงการ ซึ่งนั่นทำให้ บาติสตูต้า ถูกดร็อปเป็นสำรองซะส่วนใหญ่ ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง

ก่อนที่สโมสรว่าจะขึ้นบัญชีขาย บาติโกล ตามที่ พาสซาเรลล่า ร้องขอ โดยให้เหตุผลว่า แข้งรายนี้ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย และยิงได้เพียง 3 ประตูจากการลงสนาม 19 นัด ก่อนที่ ริเวอร์เพลท จะขาย บาติสตูต้า ไปให้กับทีมคู่กัดตลอดกาลอย่าง โบคา จูเนียร์

ซึ่งการย้ายมาที่ โบคา จูเนียร์ ที่มี ออสการ์ ตาบาเรซ คุมทีมอยู่ เขาเองดึงเอาความสามารถของ บาติสตูต้าออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยในฤดูกาลนั้น บาติสตูต้าได้เป็นดาวซัลโวของลีก จากการตะบัน 13 ประตูจากการลงสนาม 14 นัด พา โบคา จูเนียร์ คว้าแชมป์ลีกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ แถมในฤดูกาลนั้น โบคา จูเนียร์ สามารถเอาชนะ ริเวอร์เพลท ได้ทั้ง 4 นัดที่เจอกันด้วย

การผจญภัยครั้งใหม่ในอิตาลี กับจุดเริ่มต้นการเป็นตำนาน

ความร้อนแรงของ บาติโกล ทำให้เจ้าตัวอยู่กับ โบคา จูเนียร์ ได้เพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น เพราะเวลานั้น บาติสตูต้า กลายเป็นที่หมายปองของหลายสโมสรในยุโรป สุดท้ายกลายเป็น ฟิออเรนติน่า ทีมดังแห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ที่ได้ตัวแข้งรายนี้ไปร่วมทีม

บาติสตูต้า เริ่มแจ้งเกิดสร้างผลงานกับ ฟิออเรนติน่า อย่างเต็มตัวในปี 1991 ซึ่งฝีเท้าการสวมบทเพชฌฆาตในการสังหารประตู เต็มเปี่ยมไปด้วยความรุนแรง และทรงประสิทธิภาพทั้งลูกยิง และการโหม่งของเค้า จากสถิติลงสนามให้ทีมทั้งหมด 332 นัด ยิงได้ 207 ประตู พร้อมกับพาต้นสังกัด ม่วงมหากาคว้าแชมป์ทั้ง เซเรีย บี และโคปป้า อิตาเลีย มาแล้ว กับสถิติการยิงประตูแตะหลัก 30 ประตูแทบจะทุกฤดูกาลกับตลอด 9 ปีในถิ่น อาร์เตมิโอ ฟรังคี่

บาติสตูต้า เป็นนักฟุตบอลคนแรกของ ม่วงมหากาฬ ที่กระหน่ำได้ถึง 168 ประตู และในตอนนั้นเจ้าตัวโด่งดังถึงขั้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ได้สร้างอนุสรณ์สถานให้กับเขาในเมืองอีกด้วย แม้จะไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใดมาให้กับทีมก็ตาม จนกระทั่ง ฤดูกาล 1999-2000

บอกลา ม่วงมหากาฬ ทั้งน้ำตา สู่การคว้า สคูเด็ตโต้ กับ โรม่า

ฤดูกาลถัดมา บาติสตูต้า ออกมาประกาศว่าจะเล่นให้ ฟิออเรนติน่า เป็นฤดูกาลสุดท้าย โดยให้เหตุผลว่า

“สำหรับ ฟิออเรนติน่า ยังคงเป็นทีมที่ผมรักมากที่สุด แต่กับช่วงท้ายของชีวิตค้าแข้งผมก็อยากที่จะสัมผัสการเป็นแชมป์ลีกอีกซักครั้ง”

ก่อนที่ในฤดูกาล 2000-01 บาติสตูต้า จะย้ายไป อาแอส โรม่า ด้วยค่าตัว 35 ล้านเหรียญ ซึ่งก็ไม่มีแฟนบอล ฟิออเรนติน่า หาญกล้าถือโทษโกรธ บาติสตูต้าเพราะทุกคนรู้ดีว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีกับม่วงมหากาฬเขาทุ่มเทและทำเพื่อสโมสรมากขนาดไหน

ปีแรกกับทัพ หมาป่าเหลือง-แดง บสติโกล ยิงไปถึง 20 ประตู และก็ทำให้ความฝันเป็นจริงทันที ด้วยการคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มาครอง ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1983 โดย บาติสตูต้า ใช้เวลากับ โรม่า 2 ปีครึ่ง ยิงไป 33 ประตูจากการลงสนาม 84 เกมรวมทุกรายการ ก่อนจะถูก อินเตอร์ มิลาน ยืมตัวไปร่วมทีมเป็นช่วงสั้นๆในฤดูกาล 2002-03 ซึ่งเป็นทีมสุดท้ายในประเทศอิตาลี ก่อนที่จะไปเล่นให้กับทีม อัล อาราบี ทีมในลีกกาตาร์และแขวนสตั๊ดในปี 2005 ด้วยวัย 37 ปี ปิดฉากการค้าแข้งอย่างเป็นทางการ

หนึ่งในตำนานกองหน้ามหากาฬแห่งทัพ ฟ้า-ขาว

ขณะที่ผลงานกับทัพ ฟ้า-ขาว ทีมชาติอาร์เจนติน่า ปี 1991 บาติสตูต้า ถูกเรียกติดทีมชาติครั้งแรกในรายการ โคปา อเมริกา ที่ชิลี ซึ่ง บาติสตูต้า เป็นหนึ่งในฟันเฟือนสำคัญที่พา อาร์เจนติน่าอคว้าแชมป์ แถมยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดด้วยการยิงไปทั้งสิ้น 6 ประตูต่อด้วยปี 1993 ศึก โคปา อเมริกา ครั้งที่สองของ บาติสตูต้า เจ้าตัวก็ยังคงพาทัพ ฟ้า-ขาว คว้าแชมป์มาครองได้อีกครั้ง ณ ประเทศเอกวาดอร์

ปี 1994 ในศึกฟุตบอลโลก ที่ สหรัฐอเมริกา อาร์เจนติน่า ไปได้ไกลที่สุดเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อพ่ายให้กับ โรมาเนีย ซึ่งทั้งทัวร์นาเมนต์ บาติสตูต้า ยิง 4 ประตู โดยเป็นการยิงแฮตทริกได้ในเกมที่พบกับ กรีซ ในรอบแรก ด้วย ต่อมาศึก เวิลด์ คัพ 1994 อาจไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์ที่น่าจดจำอะไรสำหรับ อาร์เจนตินา ภายหลังจากที่พวกเขาต้องร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของ “ม้ามืด” อย่าง โรมาเนีย

ต่อด้วยศึก ฟุตบอลโลก 1998 บาติสตูต้า ไม่ค่อยได้ถูกรียกติดทีมชาติมากนักในรอบคัดเลือก เนื่องจากดาเนียล พาสซาเรลล่า โค้ชทีมชาติตอนนั้น ออกมาประกาศว่า จะไม่เรียกนักฟุตบอลที่ผมยาวมาติดทีม แม้จะเล่นได้ดีเพียงไรก็ตาม แม้จะไม่ชอบการไว้ผมสั้น แต่สุด บาติสตูต้า ก็ต้องยอมตัดผมออกเพราะเค้าต้องการที่จะกลับไปเล่นในรายการฟุตบอลโลกอีกครั้ง

ฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส บาติสตูต้า ยิง 5 ประตู และเป็นก่รยิงแฮตทริกใส่ จาไมก้า และนับเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำแฮตทริกได้ 2 ครั้งในรายการฟุตบอลโลก และเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่สามารถทำแฮตทริกได้ในการลงเล่นรายการฟุตบอลโลก 2 ครั้ง

ต่อมาในศึก ฟุตบอลโลก 2002 ที่ อาร์เจนติน่า ภายใต้การคุมทีมของ มาร์เซโล บิเอลซ่า ที่เป็นทีมแรกที่ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย และถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ แต่จากการที่ถูกจับฉลากไปอยู่ใน กรุ๊ป ออฟ เดธ ซึ่งประกอบไปด้วย อาร์เจนติน่า สวีเดน อังกฤษ และ ไนจีเรีย ทำให้พวกเค้าไปได้ไม่ไกลดั่งที่คิดไว้

และตกรอบแรกในฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962 หลังจากจบฟุตบอลโลก 2002 ก็ดูเหมือนฟอร์มการเล่นของ บาติสตูต้า จะตกลงไปด้วยและได้ประกาศเลิกเล่นในปีเดียวกัน โดยฝากผลงานในนามทีมชาติไว้ที่ 78 เกม ยิงไป 56 ประตู

ตกเป็นข่าวกับทัพ ปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์ พีอีเอ มาแล้ว

แถมในช่วงท้ายชีวิตการค้าแข้ง ใครจะเชื่อว่า กาเบรียล บาติสตูต้า เคยตกเป็นข่าวกับ บุรีรัมย์ พีอีเอ ยอดทีมแห่งศึกไทยลีกมาแล้ว โดยเรื่องนี้เกิดในปี 2010 สมัยที่ บุรีรัมย์ พีอีเอ ได้สิทธิ์การทำทีมมาจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เดิม ซึ่ง เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรออกข่าวในแนว ๆ ที่ว่าอยากจะได้นักเตะระดับแม่เหล็กที่สร้างกระแสได้อย่าง กาเบรียล บาติสตูต้า ที่อยู่ในวัย 41 ปีมาเป็นส่วนหนึ่งของทีม โดยจะรับบทบาททั้งโค้ชและนักเตะ

เหนือสิ่งอื่นใดคือ บาติสตูตา นั้นยังเป็นนักบอลที่มีความติสต์ตัวพ่ออีกหนึ่งคน แม้จะเก่งกาจด้านฟุตบอลขนาดไหน แต่เขาก็เคยบอกว่าฟุตบอลเป็นแค่อาชีพของเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความชอบ นั่นหมายความว่า แพชชั่นของเขากับฟุตบอลไม่เหลือแล้ว สุดท้ายข่าวลือดังกล่าวไม่เคยใกล้เคียงกับการเกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่น้อย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า บาติสตูต้า คือผู้ที่ทำให้แฟนบอลชาวไทยหลายๆคนเชียร์ ฟิออเรนติน่า หรือดูฟุตบอลอิตาลี กับตาแรกเตอร์ ขวาตาย ซ้ายพิการ โกลมือเเทบหัก ที่เป็นเครื่องหมายการค้าที่คนตามเชียร์เขารู้จักกันดี และแม้ว่า บาติโกล อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายทั้งในนามสโมสรและทีมชาติ แต่เขาก็เปรียบเสมือนเป็นไอคอนของวงการฟุตบอลอีกหนึ่งที่โลกใบนี้จะต้องจดจำเขาไปตลอดกาล

สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ

เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค