หากจะเอ่ยถึงชาติฟุตบอลม้ามืดในช่วงยุค 90 ต่อเนื่องถึงยุค 2000 เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะคิดถึงทัพ ตาหมากรุก ทีมชาติโครเอเชีย ที่แม้ว่าพวกเขาจะเป็นประเภทใหม่ ที่พึ่งสถาปนาตัวเองแยกตัวจากยูโกสลาเวีย แต่สำหรับผลงานด้านฟุตบอลของพวกเขา สร้างความมหัศจรรย์สั่นสะเทือนกับวงการลูกหนังยุโรปมาแล้วนักต่อนัก
จุดกำเนิดทัพ ตาหมากรุก
โครเอเชีย เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในโซนยุโรปกลางมีพื้นที่ประมาณ 56,594 ตารางกิโลเมตร ทิศตะวันตกติดกับทะเลเอเดรียติก ทิศเหนือติดกับประเทศสโลวีเนีย ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศฮังการี ทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศเซอร์เบีย ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และประเทศมอนเตเนโกร
โครเอเชีย เคยเป็นส่วนหนึ่งของ ยูโกสลาเวีย ชาติที่มีประวัติอันยาวนานและน่าภาคภูมิใจในการผลิตผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ทางเทคนิค พวกเขาเอาชนะบราซิลในการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดแรกในปี 1930 และเป็นผู้เข้ารอบชิงแชมป์ยุโรปถึงสองครั้ง ก่อนที่ โครแอต จะแยกตัวออกมาประกาศเอกราชในปี 1991 หลังการล่มสลายของ ยูโกสลาเวีย อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น โครเอเชียต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองและความวุ่นวายตลอด 4 ปี
จนถึงปี 1995 หลังจากสิ้นสุดสงครามกลางเมือง ประเทศโครเอเชีย เริ่มถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง จากผลงานของ ทีมฟุตบอลชายทีมชาติโครเอเชีย ที่สร้างปรากฏการณ์ให้เหล่าแฟนบอลทั่วโลกต้องทึ่ง ไล่ตั้งแต่ผลงานในศึกฟุตบอลโลก 1998 รอบคัดเลือก ที่พวกเขาอยู่ร่วมสายกับ เดนมาร์ก กรีซ สโลวีเนีย และ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งพวกเขาก็สามารถฝ่าด่านจบเป็นรองแชมป์กลุ่มแบบสุดเซอร์ไพร์ส พร้อมกับได้สิทธิ์ไปเล่นรอบเพลย์ออฟชิงตั๋วฟุตบอลโลกกับ ทีมชาติยูเครน
กุนซือคลั่งการเมือง วลีฝังหัว สู้เพื่อชาติ
โดย ณ เวลานั้น โครเอเชีย มี มิโรสลาฟ บลาเซวิช กุนซือผู้มากประสบการณ์คุมทัพ นอกจากนี้กุนซือ โครแอตยังเป็นนักรณรงค์ทางการเมืองที่ดุเดือดเพื่ออิสรภาพของประเทศโครเอเชีย นั่นจึงไม่แปลกที่แนวคิดและสภาพจิตใจของนักเตะทีมชาติโครเอเชียจะแข็งแกร่งดุจภูผาหิน
อิกอร์ สติมัช ปราการหลังลูกทีมของ บลาเซวิซ ณ เวลานั้น กล่าวถึงแนวคิดของกุนซือที่ถ่ายทอดมายังลูกทีมของเขาว่า
“ผมคิดว่าตอนนี้เราแข็งแกร่งขึ้นมากในสนาม หลังจากผ่านอะไรมา ไม่มีอะไรต้องกลัวในสนามหญ้าอีกต่อไปแล้ว ผมใช้ประโยชน์จากความรักชาติอันเข้มข้นในทีม เราเป็นประเทศที่ไม่มีใครรู้จักมากนัก ดังนั้นมันจึงเป็นโอกาสของเราที่จะทำให้ทีมและคนทั้งประเทศเป็นที่สนใจ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะจูงใจผู้เล่น”
เกมแรก โครเอเชีย เปิดบ้านเอาชนะยูเครน ไปได้ก่อน 2-0 จากประตูของ สลาเวน บิลิช และ โกรัน วลาโอวิช ขณะที่เกมที่ 2 ตาหมากรุก บุกเสมอ ยูเครน 1-1 เท่ากับว่า ทีมชาติโครเอเชีย สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร่วมการแข่งขัน โดยในศึก ฟร้องซ์ 98 เหล่าบรรดาแฟนบอลต่างตื่นตา ตื่นใจ ไปกับชาติหน้าใหม่จอมเซอร์ไพร์สอย่าง โครเอเชีย ที่มีเอกลักษณ์คือเสื้อลายตาหมากรุกที่ ณ ตอนนั้น แทบไม่เคยมีใครเคยเห็นชุดแข่งแนวนี้มาก่อน
โครแอตรุ่นแรก ช็อคโลกคว้าที่ 3 ฟร้องซ์ 98
สำหรับ ทีมชาติโครเอเชีย แม้ว่าจะไม่มีใครโดดเด่นเข้าขั้นระดับซูเปอร์สตาร์ แต่ด้วยระบบฟุตบอลยุโรปตะวันออกมาก็เป็นการการันตีความสามารถของผู้เล่นได้ในระดับหนึ่ง ผู้เล่นแต่ละคนของทีมชาติโครเอเชียในยุคบุกเบิกเต็มไปด้วยแข้งรอบจัด ความสามารถรอบตัว ผสมผสานกับเทคนิคชั้นยอด
ซึ่งกลุ่มนักเตะเจนเนอเรชั่นแรกของ ทีมชาติโครเอชีย ภายใต้การคุมทีมของ มิโรสลาฟ บลาเซติค นำโดย ดาวอร์ ซูเคอร์ โรเบิร์ต ยาร์นี ,ซโวนิเมียร์ โบบัน ,สลาเวน บิลิช ,อิกอร์ สติมัช โรเบิร์ต โปรซิเนซกี ,มาริโอ สตานิช ,ซโลนิเมียร์ ซอลโด และ อเล็น บ็อกซิช เป็นต้น
โดยเฉพาะการสร้างตำนานในศึกฟุตบอลโลกรอบปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส ที่เป็นฟุตบอลโลกครั้งเเรกของ โครเอเชีย ซึ่งพวกเขาสามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการ ชนะ จาเมก้า 3-1
เเละชนะญี่ปุ่น 1-0 ก่อนจะแพ้ อาร์เจนติน่า 0-1 ในเกมสุดท้าย เข้ารอบไปในฐานะรองเเชมป์กลุ่ม ขณะที่รอบ 16 ทีม สุดท้าย ขุนพล ตาหมากรุก ดวลกับ ผีดิบ ก่อนชนะ 1-0 ด้วยประตูชัยจากลูกจุดโทษของ ดาวอร์ ซูเคอร์ ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับ ทีมชาติเยอรมัน ที่เป็นอดีตเเชมป์ 4 สมัย ณ เวลานั้น
ซึ่งปรากฏการณ์ที่ โครเอเชีย สร้างขึ้นมันก็น่ามีจุดเริ่มต้นจากเกมรอบก่อนรองชนะเลิศที่พลพรรค ตาหมากรุก ช็อคโลกด้วยการไล่ต้อนเต็ง 2 ของรายการอย่าง อินทรีเหล็ก ไป 3-0 จาก โรเบิร์ต ยาร์นี ,โกรัน วลาโอวิช และ ดาวอร์ ซูเคอร์ หักปากกาเซียนทุกสำนัก พร้อมกับผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกไปดวลกับเจ้าภาพ ทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งเกมนี้น่าจะอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคน โดยเป็นเกมสุดดราม่าที่ ดาวอร์ ซูเคอร์ ยิงให้ โครเอเชีย ออกนำไปก่อน
เเต่สุดท้ายกลายเป็น ลิลิยอง ตูราม กองหลังตราไก่ เหมาคนเดียว 2 ประตู แซงชนะ โครเอเชีย 2-1 ก่อนต่อยอดด้วยการครองแชมป์โลกด้วยการชนะ บราซิล 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ส่วน โครเอเชีย ต้องไปชิงอันดับที่ 3 กับ เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเกมนี้ โครแอต เอาชนะเนเธอร์แลนด์ 2-1
ดาวอร์ ซูเคอร์ อัจฉริยะสังหารแห่งโครเอเชีย
คีย์เเมนของ โครเอเชีย ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ดาวอร์ ซูเคอร์ ศูนย์หน้าของ เรอัล มาดริด แห่งศึกลา ลีกา สเปน ที่มาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก แต่ก็แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวด้วยการซัดไป 6 ประตู พร้อมกับคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดของศึกฟุตบอลโลก ฟร้องซ์ 98 มานอนเป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง
สำหรับ ซูเคอร์ เริ่มการเล่นฟุตบอลกับสโมสร เอ็นเค โอซิเย็ค ในยูโกสลาเวีย โดย ซูเคอร์ มีความต้องการที่จะเป็นกองหน้ามาโดยตลอด เพราะเจ้าตัวเชื่อว่าตำแหน่งเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด แถมยังมีโอกาสเจิดจรัสในเส้นทางสายลูกหนัง หลังจากนั้น ซูเคอร์ ก็ตะบันไป 40 ประตูจาก 91 เกม ตลอด 4 ปีที่อยู่กับ เอ็นเค โอซิเย็ค ก่อนที่ ดินาโม ซาเกร็บ ยักษ์ใหญ่ของยูโกสลาเวีย หรือ เซอร์เบีย ในปัจจุบัน โครเอเชีย จะดึง ซูเคอร์ ไปร่วมทีมในปี 1989 ด้วยวัย 21 ปี
ซูเคอร์ โชว์ฟอร์มยิงประตูต่อเนื่องในช่วงเวลากับ ซาเกร็บ แต่ด้วยเหตุผลด้านสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศยูโกสลาเวีย ทำให้ฟุตบอลภายในประเทศไม่ต่อเนื่อง ทำให้ ซูเคอร์ ต้องมองหาโอกาสไปผจญภัยยังต่างแดน และเป็น เซบีย่า ในศึกลา ลีกา ที่ดึงหัวหอกโครแอตรายนี้ไปร่วมทีม โดยมียอดแข้งระดับตำนานอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า ค้าแข้งอยู่ด้วย ณ ตอนนั้น
ซูเคอร์ ใช้เวลาปรับตัวกับการออกมาค้าแข้งต่างแดนครั้งแรกสักระยะ จากแข้งตัวสำรองที่มักถูกเปลี่ยนมารับบทซูเปอร์ซับ ซูเคอร์ ค่อยๆพัฒนาตัวเองมาเป็นตัวหลักของทีมได้ในที่สุด โดยตลอด 5 ซีซั่นกับ เซบีย่า ซูเคอร์ กระหน่ำไป 90 ประตูจากการลงสนาม 177 เกมรวมทุกรายการ ก่อนที่ในฤดูกาล 1996-97 ซูเคอร์ จะได้โอกาสย้ายไปร่วมทีมมหาอำนาจอย่าง เรอัล มาดริด เป็นเวลา 3 ฤดูกาล
ผลงานกับต้นสังกัดอย่าง ราชันชุดขาว ซูเคอร์ เล่นร่วมกับ เปแดร็ก มิยาโตวิช ร่วมด้วย ราอูล กอนซาเลซ ที่ยังเป็นดาวรุ่งของทีม ซึ่ง ซูเคอร์ ช่วยพา มาดริด กลับมาคว้าแชมป์ลาลีกา ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขาลงเล่น ด้วยการยิง 24 ประตูให้กับทีม ซึ่งในช่วงที่ ซูเคอร์ พีคสุดกับ มาดริด เป็นช่วงที่เจ้าตัวรับใช้ชาติในศึกฟุตบอลโลกที่ ฝรั่งเศส พอดี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลังจบศึก ฟร้องซ์ 98 หนนั้นชื่อของ ซูเคอร์ จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ไม่ต่างอะไรกับทีมชาติโครเอเชียของเขาที่จบด้วยการสร้างเซอร์ไพร์ส คว้าอันดับ 3 มาครองแต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าแข่งขัน
อย่างไรก็ตามทั้งที่มีผลงานอันยอดเยี่ยมแต่ในฤดูกาลถัดมา ซูเคอร์ กลับหลุดไปเป็นตัวสำรองของ เรอัล มาดริด เนื่องจาก มาดริด ต้องการดัน เฟร์นานโด มอริเอนเตส ขึ้นมาเล่นกองหน้าคู่กับ ราอูล กอนซาเลซ ทำให้ชาวต่างชาติอย่าง ซูเคอร์ ต้องกลายเป็นพระรอง
ไม่แยแส บัลลงดอร์ แค่ขอมีความสุขกับบ้านเกิด
โดยเกมที่สร้างชื่อให้กองหน้ารายนี้ดังเป็นพลุแตกก็น่าจะเป็นเกมที่ โครเอเชีย ช็อคโลกด้วยการชนะ เยอรมัน 3-0 โดย ซูเคอร์ มีชื่อบนสกอร์บอร์ดจากการยิง 1 ประตูในเกมนี้ ซึ่ง ซูเคอร์ เองก็ยอมรับว่าเกมที่ขุนพล ตาหมากรุก ไล่ถล่ม อินทรีเหล็ก นับเป็นเกมที่ติดอยู่ในความทรงจำของตัวเองตลอดไป
“ตอนที่เล่นกับเยอรมัน นั่นคือเกมที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม เพราะในมุมมองของผม เยอรมันคือประเทศที่เล่นฟุตบอลเก่งที่สุดผมมองว่าเยอรมันชุดนั้นดีพอจะเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยซ้ำ และเราก็ไม่ใช่ทีมที่ดีกว่าพวกเขาหรอก แต่พวกเรามีความเชื่อมั่นจริง ๆ ว่าเราจะชนะพวกเขาได้ และเราเล่นได้อย่างสุดยอดจริง ๆ”
ซูเคอร์ คว้าอันดับที่ 2 ของรางวัลบัลลงดอร์ในปีนั้น แพ้แค่ ซีเนอดีน ซีดาน กองกลางตัวรุกที่พา ทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนว่าผลงานของ ซูเคอร์ ยอดเยี่ยมขนาดไหนในฟุตบอลโลก 1998 แต่รางวัลส่วนตัวหาใช่เรื่องสำรคัญของเขา
เพราะครั้งหนึ่ง ซูเคอร์ เคยเปิดเผยว่า การที่เขาเป็นดาวซัลโวของฟุตบอลโลก 1998 และช่วยให้ ทีมชาติโครเอเชีย ได้ไปไกลถึงอันดับที่ 3 เป็นสิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดในชีวิต เพราะเขาทำให้ชาติเล็กๆกลายเป็นที่จดจำ และมันก็เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค