สุดท้ายก็สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก โดยอัตโนมัติจนได้ สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม ที่ล่าสุดบุกไปเอาชนะ สเตอัว บูคาเรสต์ ถึงประเทศโรมาเนียด้วยสกอร์ 2-0 อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าในยุคของกุนซือโปรตุกีสรายนี้ กองหน้าของทัพ ปีศาจแดง จะผลิตสกอร์ได้น้อยนิดอย่างน่าใจหาย หากเทียบกับยุคของกุนซือคนก่อนๆ
ฤดูกาล 2024-25 หากนับเฉพาะผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าธรรมชาติของ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาผลิตสกอร์รวมกันได้เพียง 19 ประตูเท่านั้น โดยแบ่งเป็นของ ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่ยิงไป 9 ประตู 3 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 18 ส่วน โจซัว เซิร์กซี ก็ยิงไปเพียง 3 ประตู ทำไป 2 แอสซิสต์จากการลงสนาม 21 นัด ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ อโมริม แทบไม่ได้ใช้งาน ก็ยิงไป 7 ประตู 4 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 19 นัด ในซีซั่น
กองหน้าผ้าเย็นในยุค อโมริม กับวิกฤตเรื่องผลิตสกอร์
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำประตูที่น้อยลง ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผลการแข่งขัน แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทีมและแฟนบอล โดยแม้ว่าทีมจะครองบอลได้ดีกว่าในบางเกม แต่การไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้ ทำให้ทีมต้องทำแต้มหลุดมือในหลายๆนัด ปัญหาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความต้องการของการเสริมทัพ กองหน้าในช่วงตลาดซื้อขาย เพื่อที่จะสามารถยกระดับการทำประตูและสร้างสมดุลให้กับแนวรุก ซึ่งเป็นสิ่งที่กุนซืออย่าง รูเบน อโมริม จำเป็นต้องวิเคราะห์และหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด
ขณะเดียวกันจากสถานการณ์กองหน้าตีนบอดในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มันก็ไม่แปลกที่แฟนบอลหลายๆคนจะเปรียบเทียบเหล่าบรรดากองหน้าชุดปัจจุบัน กับกองหน้าทัพ ปีศาจแดง ในอดีต ที่มีผู้เล่นหลายต่อหลายคน ที่ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ สร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ เร้ด เดวิลส์
ไม่ว่าจะเป็น เวย์น รูนีย์ ,คริสเตียโน โรนัลโด้ ,รุด ฟาน นิสเติลรอย ต่อเนื่องไปจนถึง โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ ที่เป็นตัวความหวังในการพังประตู พร้อมเนรมิตความสำเร็จมากมายเข้าสู่โรงละครแห่งความฝัน
นอกจากนี้ยังมีตำนานกองหน้าคู่หูที่แฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีวันลืมนั่นก็คือ คู่หูนิลกาฬในตำนานอย่าง แอนดี้ โคล และ ดไวท์ ยอร์ค ดูโอกองหน้าที่ว่ากันว่าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของบรมกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยในปี 1995 เฟอร์กี้ จัดการคว้าตัว แอนดี้ โคล มาจาก นิวคาสเซิ่ล ในช่วงเดือนมกราคม ด้วยค่าตัวราว 7 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าสูงมากในสมัยนั้น
และเพียงครึ่งซีซั่น คิงโคล ก็ตะบันไปถึง 12 ประตูจากการลงสนาม 12 เกม แต่กลับต้องชอกช้ำเนื่องจากต้นสังกัดอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ถูก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส แย่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ไปในปีนั้น
จุดเริ่มต้นตำนานคู่หูจอมถล่มประตูแห่งทัพ ปีศาจแดง
ฤดูกาล 1995-96 เป็นครั้งแรกที่ โคล ได้ปรี-ซีซั่นกับ ปีศาจแดง อย่างไรก็ตามแม้ว่า ยูไนเต็ด จะจบด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครอง แต่ด้วยสถานะ ณ เวลานั้น คิงโคล ตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของ เอริค คันโตนา จึงทำให้เจ้าตัวยิงไป 13 ประตูจากการลงสนาม 41 เกมรวมทุกรายการ
แถมในซีซั่นต่อมา โคล โดนอาการบาดเจ็บรบกวน จึงทำให้ยิงได้เพียง 7 ประตูเท่านั้น จากการลงสนาม 21 นัดรวมทุกรายการ อย่างไรก็ตามฤดูกาล 1998-99 แมน ยูไนเต็ด ทุ่มเงิน 12.6 ล้านปอนด์คว้าตัว ดไวท์ ยอร์ค จาก แอสตัน วิลล่า มาร่วมทีม
โดยก่อนหน้านี้หัวหอกตรินิแดด แอนด์ โตเบโก้ อยู่ร่วมหัวจมท้ายกับทัพ สิงห์ผงาด มานานร่วมสิบปี กระหน่ำประตูไปถึง 98 จากการลงสนาม 287 เกมรวมทุกรายการ ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานคู่หูนิลกาฬแห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอรด์ ที่เหล่าบรรดาสาวด เร้ด เดวิลส์ ในยุค 90 จะจดจำไม่มีวันลืม โดยเฉพาะในซีซั่น 1998-99 ที่ถือเป็นปีที่ แมนฯ ยู ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร
โดยทั้งคู่แสดงให้เห็นถึงความเข้ากันได้อย่างดีในเกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด และทำประตูรวมกันในลีกได้ถึง 53 ประตู โดย ยอร์ค ทำไป 29 ประตู ขณะที่ โคล ตะบันไป 24 ประตู ซึ่งจากผลงานดังกล่าว ทำให้ทั้งคู่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคู่หูที่ทรงอิทธิพลที่สุดในพรีเมียร์ลีกในยุคนั้นเลยทีเดียว
ฤดูกาลมหัศจรรย์ เฟอร์กี้ พา ผีแดง ครองบัลลังก์ทริปเปิ้ลแชมป์
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน รู้จักการจัดการและใช้งานนักเตะได้อย่างชาญฉลาด ด้วยการใช้ประโยชน์จากสไตล์การเล่นของทั้ง โคล และ ยอร์ค เฟอร์กี้ รู้ดีว่า โคล เป็นกองหน้าที่แข็งแกร่งและมีทักษะในการทำประตู ขณะที่ ยอร์ค มีความสามารถในการเล่นเป็นเพลย์เมคเกอร์ และการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งการผสมผสานของทั้งคู่ช่วยให้ ยูไนเต็ด มีความหลากหลาย ในการโจมตีและสามารถทำประตูได้อย่างหลากหลายทุกทิศทุกทาง
ฤดูกาลนั้น, โคล และ ยอร์ค ยิงประตูรวมกันได้มากถึง 53 ประตูรวมทุกรายการ การเล่นร่วมกันของทั้งคู่มีความเข้าใจกันอย่างดีเยี่ยม และหลายครั้งที่พวกเขาสร้างสรรค์การเล่นที่สวยงามและมีประสิทธิภาพ เช่น การประสานงานในจังหวะที่ทำประตูในเกมที่สำคัญๆ
ซึ่งทำให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่หูที่น่าสะพรึงกลัวของเหล่าบรรดากองหลัง แถมยังเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ ปีศาจแดง คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้อย่างมหัศจรรย์ในฤดูกาลนั้น โดยเฉพาะเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกที่ ที่ โคล และ ยอร์ค มีส่วนร่วมในการทำประตูในช่วงครึ่งแรกและครึ่งหลังพาทัพ ปีศาจแดง สร้างปาฏิหาริย์พลิกกลับมาเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-1
ฤดูกาลนั้นเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ แมน ยู และฟุตบอลอังกฤษ และยังนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วย โดยพวกเขาคว้าแชมป์ในทุกถ้วยที่มี ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทีมจากอังกฤษทำได้
ยังไว้ลาย ยิงกระจาย ในสีเสื้อ กุหลาบไฟ
ช่วงต้นยุค 2000 ด้วยสังขารที่ร่วงโรย ประกอบกับสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงไปทำให้ทั้ง แอนดี้ โคล และ ดไวท์ ยอร์ค ต้องบอกลาการค้าแข้งในสีเสื้อ ปีศาจแดง โดย คิงโคล ย้ายไปอยู่กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในปี 2001 และเพียงปีแรกในสีเสื้อ กุหลาบไฟ เจ้าตัวทำผลงาน ยิง 13 ประตูจากการลงสนาม 20 เกมรวมทุกรายการ พร้อมกับทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ มาครองได้สำเร็จ ก่อนที่ ดไวท์ ยอร์ค จะย้ายตามไปในปีต่อมา
โดยทั้ง โคล และ ยอร์ค อยู่แท็คทีมล่าตาข่ายในสีเสื้อ กุหลาบไฟ อยู่ 2 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 2002-04 ยิงประตูรวมกันไปถึง 56 ประตู แบ่งเป็นของ แอนดี้ โคล ที่ยกดไป 37 ประตูจากการลงสนาม 100 เกม ขณะที่กองหน้าตรินิแดดฯ ก็ซัดไป 19 ประตูจากการลงเล่น 74 เกมรวมทุกรายการ
ถึงแม้ว่า แอนดี้ โคล และ ดไวท์ ยอร์ค จะไม่ได้เล่นร่วมกันนานนัก แต่ความสำเร็จและผลงานของทั้งคู่ยังคงเป็นที่กล่าวถึงในประวัติศาสตร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่หูนี้สร้างมิติใหม่ให้กับการเล่นของทีม และได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของการมีความเข้าใจในทีมงานและการทำงานร่วมกันในสนาม ซึ่งนอกจาก โคล และ ยอร์ค จะเป็นคู่หูที่มีความเข้ากันได้อย่างดีในสนามแล้ว พวกเขายังได้สร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลและนักฟุตบอลทั่วโลกด้วย ในฐานะคู่หูนิลกาฬตำนานแห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค