หากจะเอ่ยถึงเหล่าบรรดาพ่อค้าแข้งจากทวีปอเมริกาใต้ แน่นอนว่าภาพจำของใครหลายๆคน น่าจินตนาการไปถึงลีลาการเล่นฟุตบอลอันสวยงาม ตื่นเต้น เร้าใจ
โดยว่ากันว่านี่คือหนึ่งใน ดีเอ็นเอ ของชาวอเมริกาใต้หลายๆคนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านฟุตบอล นอกเหนือจากนี้นักฟุตบอลจากทวีปอเมริกาใต้ ยังเป็นสินค้าขายดีระดับโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นั่นจึงไม่แปลกที่แทบจะทุกลีกมาตรฐานทั่วโลกจะมีนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้ตระเวนไปวาดลวดลายแบบไม่ขาดสาย
อุรุกวัย ส่งออกแนวรุกประดับเวทียุโรป
ถึงตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า บราซิล คือชาติหมายเลข 1 ของอเมริกาใต้ ที่ส่งออกนักเตะไปค้าแข้งทั่วโลก รองลงมาก็มีทั้ง อาร์เจนตินา ,โคลอมเบีย รวมไปถึงอีกหนึ่งชาติที่เติบโตขึ้นมา สถาปนาตัวเองกลับเป็นยักษ์ใหญ่อีกครั้งอย่าง อุรุกวัย ชาติที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
แถมในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับเมเจอร์ทัพ จอมโหด ก็ผ่านเข้าสู่รอบลึกๆ มาโดยตลอด ซึ่งในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อุรุกวัย ส่งออกแข้งชั้นดีไปประดับเวทีฟุตบอลยุโรปมากมายแบบไม่ขาดสาย ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะในแนวรุกของพวกเขาที่กลายเป็นสินค้าขายดีของประเทศ
ผู้เล่นอย่าง ดีเอโก ฟอร์ลัน หลุยส์ ซัวเรซ เอดินสัน คาวานี ,เออร์เนสโต บัลเบร์เด้ รวมไปถึง เจนเนอเรชันล่าสุดอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ต่างพิสูจน์ตัวเองในลีกชั้นนำของยุโรปได้อย่างน่าประทับใจ อย่างไรก็ตามหากจะพูดถึงนักเตะผู้บุกเบิก แนะนำให้ชาวยุโรปให้รู้จักประเทศอุรุกวัยก็ อัลบาโร เรโคบา ดาวเตะฟ้าประทานที่กลายเป็นตำนานลูกหนังของทัพ จอมโหด และเป็นที่รักของชาวอุรุกวัยแทบทั้งประเทศ
หมอนี่เป็นใคร ทำไม มัสซิโม โมรัตติ ถึงคลั่ง
ย้อนกลับไปในศึกกัลโช เซเรีย อา อิตาลี ฤดูกาล 1997-1998 ซึ่งเป็นปีที่ 4 ที่ มัสซิโม โมรัตติ เข้ามาเป็นเจ้าของทีมอย่างเต็มตัว ซึ่งณเวลานั้นพอเราพักงูใหญ่ห่างเหินจากการเป็นแชมป์ลีกสูงสุดมายาวนานเกือบ 10 ปีดังนั้นในฤดูกาล 1997-1998 เป้าหมายของ โมรัตติ
และชาวคณะ อินเตอร์ มิลาน คือการสร้างทีมให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ให้จงได้ โดยมีการทุ่มงบประมาณมหาศาลกว่า 19.5 ล้านปอนด์ คว้าตัว โรนัลโด ดาวยิงชาวบราซิลของ บาร์เซโลนา มาร่วมทีม รวมถึงแนวรุกชื่อดังคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น, อีวาน ซาโมราโน่, เอ็นวานโก้ คานู, เมาริซิโอ กานซ์
อย่างไรก็ตามในฤดูกาลเดียวกัน โมรัตติ ก็ยอมทุ่มเงินสูงถึง 15 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าเด็กหนุ่มหน้าตี๋ชาวอุรุกวัยวัย 20 ต้นๆ อย่าง อัลบาโร เรโคบา มาร่วม ท่ามกลางเครื่องหมายคำถามของเหล่าบรรดาแฟนบอล เนรัสซูรี่ ว่าไอ้หนุ่มน่าตี๋รายนี้มีดีอะไร จึงทำให้เจ้าของสโมสรคลั่งไคล้ได้ถึงขนาดนี้
อัลวาโร เรโคบา เกิดในเมือง มอนเตวิดิโอ เมืองหลวง ของอุรุกวัย และเริ่มต้นกับสโมสรบ้านเกิดอย่าง ดานูบิโอ ที่เป็นแหล่งปลุกปั้นนักเตะชื่อดังอย่าง ดิเอโก ฟอร์ลัน และ เอดิสัน คาวานีก่อนไต่เต้าจนขึ้นชั้นสู่ทีมชุดใหญ่ด้วยอายุเพียง 17 ปี และเพียงปีแรกเขาก็แสดงให้เห็นว่าทีมบ้านเกิดนั้นเล็กเกินไปสำหรับเขา เรโคบา ตะบันไปถึง 11 ประตูในฤดูกาลเปิดตัว ก่อนที่สโมสรยักษ์ใหญ่ในอุรุวัยอย่าง นาซิอองนาล จะดึงตัว เรโคบา ไปร่วมทีม
ซึ่งสถานการณ์ของ เรโคบา กับ นาซิอองนาล ก็คล้ายๆกับที่ ดานูบิโอ เมื่อแข้งอีซ้ายหมายเลข 10 รายนี้ กระหน่ำไปถึง 17 ประตูจากการลงเล่นซีซั่นแรกให้กับ นาซิอองนาล ซึ่งจากผลงานดังกล่าวทำให้หลายสโมสรในยุโรปเริ่มได้ยินพิษสงของ เรโคบา มากขึ้น
จนกระทั่งฝีเท้าไปเข้าตา ซานโดร มาสโซล่า อดีตแข้ง อินเตอร์ มิลาน ที่ซี้ปึ้กกับเจ้าของสโมสร อินเตอร์ มิลาน อย่าง มัสซิโม โมรัตติ พร้อมกับโน้มน้าวให้เพื่อนเกลอ คว้าตัว เรโคบา มาค้าแข้งในถิ่น จูเซ็ปเป เมอัซซา ในสีเสื้อ อินเตอร์ มิลาน ให้ได้ สุดท้าย อินเตอร์ ก็ยอมควักเงินสูงถึง 15 ล้านปอนด์ดึงตัวดาวเตะชาวอุรุกวัยมาร่วมทีมในช่วงหน้าร้อนปี 1997
แย่งซีน โรนัลโด ในวันเปิดฤดูกาลกัลโช เซเรีย อา
โรเคบา ลงเล่นเกมแรกในฐานะตัวสำรอง และเพิ่มสถานะให้ตัวเองด้วยการสวมบทซูเปอร์ซับให้กับทัพ งูใหญ่ ในเกมเปิดสนาม กัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาล 1997-98 ที่เจอกับ เบรสชา เกมนั้นต้องยอมรับว่าทุกสายตาจับจ้องไปที่ โรนัลโด ที่ยิงไปถึง 34 ประตูจาก 37 นัดให้กับ บาร์เซโลนา เมื่อฤดูกาลก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามกลายเป็นเด็กหนุ่มจากอุรุกวัยที่ขโมยซีนลงมายิงคนเดียว 2 ประตูพา อินเตอร์ มิลาน พลิกสถานการณ์กลับมาประเดิม 3 แต้มได้สำเร็จ มันคือการเปิดตัวที่สมบูรณ์แบบสำหรับ เรโคบา และยังเป็นการแจ้งเตือนไปยังเหล่าบรรดาทีมคู่แข่งว่าห้ามละสายตาจากเท้าซ้ายของ เรโคบส เป็นอันขาด หากไม่โดนพรสวรรค์ของดาวเตะรายนี้เล่นงาน
แม้ว่าในซีซั่นแรกของ เรโคบา กับ อินเตอร์ มิลาน เจ้าตัวจะทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการลงสนาม19 เกม ยิงไป 5 ประตู แถมต้นสังกัดก็คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ ได้ในฤดูกาลนั้น แต่สำหรับเป้าหมายอันดับ 1 อย่างแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา พวกเขาเป็นได้แค่พระรอง และยังต้องรอคอยต่อไป
อยู่ งูใหญ่ ไร้ที่ว่าง สู่การเป็นตำนาน เวเนเซีย
อย่างไรก็ตามด้วยบารมี ชั่วโมงบิน และประสบการณ์ในลีกยุโรปที่ดูเหมือนว่า เรโคบา จะเป็นรองแนวรุกทุกคนในทีม จึงทำให้เจ้าตัวได้รับโอกาสลงสนามไม่มากเท่าที่ควร โดยในเวลานั้น เรโคบา เคยได้รับข้อเสนอจาก บาร์เซโลน่า มาแล้ว และก็เป็น โมรัตติ ที่เลือกปฏิเสธมันอย่างไม่ไยดี ก่อนที่ บอสใหญ่อินเตอร์ จะทางออกให้ลูกรักด้วยการส่งให้กับ เวเนเซีย ที่กำลังหนีตกชั้นแบบสุดตัวในฤดูกาลนั้น ยืมตัวไปร่วมทีมเป็นเวลา 6 เดือน
เรโคบา สอยไปอีก 11 ประตู จาก 19 เกม โดยหนึ่งในนั้นคือการทำแฮตทริค ช่วยให้ งูใหญ่ ไล่ถล่ม ฟิออเรนตินา ที่มีดาวเด่นอย่าง กาเบรียล บาติสตูตา มานูเอล รุย คอสตา 4-1 ก่อน จะช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ และกลายเป็นระดับขึ้นหิ้งของ เวเนเซีย แม้ว่าจะย้ายมาค้าแข้งเป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น
ฤดูกาล 1999-2000 แข้งอุรุกวัย กลับมา อินเตอร์ มิลาน อีกครั้ง พร้อมกับความมั่นใจเต็มเปี่ยม เรโคบา ซัดไปถึง 10 ประตูจาก 28 นัด และกลายเป็นผู้เล่นที่ขาดไม่ได้ของทัพ งูใหญ่ ณ เวลานั้น ซึ่งจากผลงานข เรโคบา ทำให้ โมรัตติ ตอบแทนด้วยการมอบสัญญาใหม่ในค่าเหนื่อยหลังหักภาษีถึง 4 ล้านปอนด์ต่อปี นั่นทำให้ เรโคบา กลายเป็นแข้งที่มีค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลกในเวลานั้น
ชะตากรรมเล่นตลก พกหนังสือเดินทางปลอม
อย่างไรก็ตาม ปี 2001 ชะตากรรมก็มาเล่นตลกกับแข้งอุรุกวัยรายนี้ เมื่อเจ้าตัวถูกสหพันธ์ลูกหนังแดนมะกะโรนี สั่งลงโทษแบน 1 ปีจากกรณีปลอมแปลงหนังสือเดินทาง ก่อนจะยื่นอุทธรณ์สำเร็จทำให้โทษแบนดังกล่าวถูกลดเหลือเพียง 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งว่ากันว่าน่าจะเพราะการ วิ่งเต้น ทั้งบนและใต้โต๊ะของ มัสซิโม โมรัตติ ที่ต้องการช่วยเหลือแข้งลูกรักให้รับโทษน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ผ่านไป 9 ปี หลังจากทุ่มซื้อลงทุนไปมากมาย สุดท้าย โมรัตติ และ เรโคบา ก็สมหวังจนได้เมื่อพวกเขาได้แชมป์กัลโซ่ เซเรีย อา ในฤดูกาล 2006-2007 อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ซึ่งตลอดชีวตของ เรโคบา กับ อินเตอร์ มิลาน เจ้าตัวคว้าแชมป์ได้ถึง 7 รายการ โดยมีทั้งการคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาลแรกกับทีม (1997-98) รวมไปถึงแชมป์กัลโช เซเรีย อา 2 สมัยติดต่อกันในฤดูกาล 2005-06 และ 2006-07
ตลอด 10 ฤดูกาลกับ อินเตอร์ เรโคบา มีปีที่ดีและแย่สลับกันไป แม้จะมีพรสวรรค์ที่ล้นเหลือ แต่เขาก็ไม่เคยพัฒนาไปถึงขีดสุด เขาเคยยิงได้ถึง 16 ประตูจาก 41 นัดในทุกรายการ แต่บางฤดูกาล เขาทำได้เพียงต้องมองเพื่อนเล่นจากซุ้มม้านั่งสำรอง ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะเรื่องของระเบียบวินัยของแข้งรายนี้ที่ดูเหมือนว่าจะชิลล์ไปหน่อย ออกแนวนักฟุตบอลอารมณ์ศิลปิน บอลจากปลายสตั๊ดของ เรโคบา สามารถเปลี่ยนเกมและสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้ตลอดเวลา แถมอีซ้ายของแข้งรายนี้ก็ยังเป็นอีกหนึ่งอาวุธที่ เรโคบา ใช้เล่นงานใส่ผู้รักษาประตูคู่แข่งอยู่เป็นกิจวัตรจากลูกฟรีคิกและลูกตั้งเตะ
แต่ก็มีหลายๆเกมเช่นกัน ที่ เรโคบา หายเข้ากลีบเมฆ กลายเป็นนักเตะดาดๆ ที่เล่นเหมือนไม่ได้เอาใจลงสนาม และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความ “ขี้เกียจ” ของเขานั่นเอง นิยามความขี้เกียจของ โรเคบา ในสนามก็คือการไม่ชอบไล่บอล ไม่เล่นเกมรับ ไม่ได้พาตัวเองเข้าสู่เกม แต่กลับกลายเป็นรอให้เกมมาเข้าทางเขา แถมยังมาซ้อมสายเป็นประจำ จนถึงขนาดเคยได้รับของขวัญเป็นนาฬิกาจากเพื่อนร่วมทีม สมัยเล่นให้กับ เวเนเซีย มาแล้ว
จอมขี้เกียจ ,อัจฉริยะ กับเส้นบางๆที่กั้นไว้
อย่างไรก็ดี แม้ว่า เรโคบา จะขึ้นชื่อความขี้เกียจ แถมยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้งจนทำให้ไม่ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่ เรโคบา มักจะทำในสิ่งไม่น่าเชื่อได้เสมอ จนครั้งหนึ่งแข้งอุรุกวัยรายนี้เคยได้รับการยกย่องแบบตลกร้ายว่าเป็นตัวสำรองที่ดีที่สุดในโลก สปีชีส์เดียวกับ กูตี สุดยอดสำรองของ เรอัล มาดริด แห่งศึกลา ลีกา สเปน
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าความยอดเยี่ยมของ เรโบคา น่าจะอยู่ในความทรงจำของ อินเตอร์ มิลาน เวเนเซีย และชาวอุรุกวัย อย่างแน่นอน แม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่า เรโคบา น่าจะทำได้ดีกว่านี้กับการไขว่คว้ากลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก หลายคนอาจจะเสียดายพรสวรรค์ของเขา แต่นั่นอาจไม่ใช่ความสุขที่ เรโคบา ต้องการก็ได้
ความสุขของคนเรามีไม่เท่ากัน บางคนต้องการไขว่คว้าความสำเร็จ ทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สำหรับบางการแค่มีความสุขไปกับการเล่นฟุตบอลบนฟลอร์หญ้า มันก็น่าจะเพียงพอสำหรับคนบางคนเหมือนกัน และนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไม เรโคบา ถึงไปได้ไกลแค่นี้ นั่นก็เพราะว่าเขาต้องการเพียงแค่นี้ ก็เท่านั้นเอง ซึ่งคาแรกเตอร์ของ เรโคบา ไม่ได้มีใครแอนตี้เขาเนื่องจากความขี้เกียจ แต่ภาพจำของเหล่าบรรดาแฟนบอลที่มีต่อ เรโคบา ก็คือเท้าซ้ายอันสุดฉมังค์ ทรงพลัง และเทคนิคต่างๆที่ ไอ้ตี๋น้อย รายนี้นำมาร่ายรำในสนาม
อัลบาโร เรโคบา แข้งผู้ได้รับการยอมรับ แม้ว่าจะไปไม่สุด
ครั้งหนึ่ง ทาบาเร วาสเกวซ อดีตประธานาธิบดีของ อุรุกวัย เคยกล่าวถึง เอล ชิโน ว่า
“นี่คือตัวตนของเรโคบา นักเตะที่เล่นฟุตบอลเพื่อความสนุก และความสุขที่อยากมอบให้คนดู ที่ทำให้เขากลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของ อินเตอร์ และอุรุกวัย ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นนักเตะอันดับ 1 ของโลกก็ตาม เขาคือหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เขาคือศิลปิน และที่สำคัญเขาเล่นฟุตบอลด้วยความรัก”
ขณะที่ ฮวน เซบาสเตียน เวรอน อดีตเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติอาร์เจนตินา ซึ่งเคยเป็นทั้งนักเตะคู่แข่ง และลงเล่นร่วมกับ เรโคบา ในสีเสื้ออินเตอร์ กล่าวถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมของตัวเองรายนี้ว่า
“เอล ชิโน ไม่ได้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดของโลก เพราะว่าเขาไม่อยากเป็น มันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเป็นเลย”
ขณะที่คนสุดท้ายที่ลืมไม่ได้ก็คือ มัสซิโม โมรัตติ ผู้นำพา เรโคบา สู่ทัพ เนรัซซูรี่ ก็ไกล่าวถึงอดีตศิษย์รักรายนี้ หลังจากที่ เรโคบา ประกาศแขวนสตั๊ด ว่า
“เรโคบา สามารถเป็นปรากฎการณ์แห่งวงการฟุตบอลได้ สำหรับผม เขาคือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก ด้วยทักษะที่ไม่เหมือนใคร แต่เขาฝึกซ้อมไม่มากพอ นั่นเพราะเขาไม่อยากเจ็บ เขาดำเนินชีวิตนักเตะอาชีพต่ำกว่าคุณค่าที่แท้จริงซึ่งเขามี”
บั้นปลายชีวิตค้าแข้งของ อัลบาโร เรโคบา
ฤดูกาล 2007-08 เรโคบา ไม่มีที่ว่างในแนวรุกของ อินเตอร์ ทำให้ต้องย้ายไปเล่นกับ โตริโน่ ในแบบยืมตัว แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้ เรโคบา ผลงานตกลงไป ลงเล่นไปเพียง 22 เกม ยิงไปเพียงประตูเดียวในลีก แถมไม่เคยลงสนามเป็นจริงเลยในฤดูกาลนั้น
ปีต่อมา เรโคบา ก็ตัดสินใจตามหาความท้าทายใหม่ด้วยการย้ายไปร่วมทีม พานิโอนิออส ในลีกกรีซ และเล่นอยู่อยู่ 2 ฤดูกาล ก่อนจะย้ายกลับบ้านเกิด เพื่อเล่นให้กับอดีตทีมสร้างชื่ออย่าง ดานูบิโอ ทีมแรกในชีวิตในวัย 34 ปี เรโคบา อยู่ที่นั่น 2 ฤดูกาล ก่อนที่จะย้ายไปเล่นกับ นาซิอองนาล อีกหนึ่งทีมเก่าของตัวเองในบ้านเกิดอีก 4 ปี ก่อนตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 2015 ด้วยวัย 40 ปี โดยเขาได้รับเกมเกียรติยศจากสโมสร นาซิอองนาล หนึ่งในสโมสของเขาในอุรุกวัย โดยมีสตาร์เหล่าสตาร์ดังของอเมริกาใต้ เดินทางมาร่วมลงเล่นมากมาย
แม้ว่า เรโคบา จะไปไม่สุดในโลกของฟุตบอล แต่อย่างน้อยเขาเองก็ไม่เสียดายและไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อยกับช่วงเวลาในอิตาลี และเชื่อเหลือเกินว่าในมุมมองของแฟนบอลคงไม่มีใครจดจำความขี้เกียจของ อัลบาโร เรโคบา แต่พวกเขาน่าจะติดตากับการร่ายมนต์ในสนามฟุตบอลของแข้งเจ้าของฉายา เอล ชิโน มากกว่า ซึ่ง เรโคบา ถือเป็นแข้งผู้จัดประกายความฝันด้านฟุตบอลให้กับเด็กในบ้านเกิดมากมาย
อาวุธคู่กาย แรงบันดาลใจจากรุ่นสู่รุ่น จาก เรโคบา ถึง ซัวเรซ
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกองหน้าระดับตำนานทีมชาติอุรุวัยในปัจจุบันอย่าง หลุยซ์ ซัวเรซ ที่กำลังอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตการค้าแข้ง และใครจะเชื่อว่าครั้งหนึ่ง ซัวเรซ เคยได้รับแรงบันดาลใจเป็นรองเท้าสตั๊ดอาวุธคู่กายของ เรโคบา มาแล้วในสมัยที่ยังเป็นเด็กจากทีมเยาวชนของ นาซิอองนาล
“หลุย ซัวเรซ ตอนที่ผมอยู่ อินเตอร์ มิลาน ผมเคยส่งรองเท้ากลับไปให้เด็กๆ ที่อุรุกวัย พ่อของผมเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้ แล้วรองเท้าคู่หนึ่งในชุดแรกๆ นั้นก็ได้ไปอยู่กับ หลุยส์ ซัวเรซ ผมมารู้เรื่องนี้หลายปีหลังจากนั้น มันสุดยอดมาก มันทำให้ผมภูมิใจมาก”
“ตอนนี้ลูกชายของผม ซึ่งอายุ 15 ปี เขามีหลุยส์เป็น ไอดอล คราวนี้ก็กลายเป็นเราที่อยากได้รองเท้าจากเขาบ้าง มันเป็นของขวัญจากเขา เหมือนกับตอนที่เขาได้รับในอดีต”
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค