หากจะเอ่ยถึงเพชรฆาตจอมสังหารประตูที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คงจะปฏิเสธไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงว่า อลัน เชียร์เรอร์ คือหนึ่งในดาวยิงที่ได้รับการยกย่องว่าคู่ควรกับกับคำสรรเสริญดังกล่าวมากที่สุดคนหนึ่งแห่งลีกสูงสุดของเมืองผู้ดี 

260 ประตูในพรีเมียร์ลีก คือสถิติที่การันตีว่า ฮอตชอต คือหนึ่งในกองหน้าที่เหล่าบรรดากองหลังไม่อยากเผชิญหน้าด้วยมากที่สุด อลัน เชียร์เรอร์ คือแข้งลูกหม้อของ นิวคาสเซิ่ล อย่างแท้จริง เพราะเจ้าตัวเกิดที่แดนอีสานของเมืองผู้ดี ณ ย่านกอสฟอร์ธในครอบครัวชั้นแรงงาน เริ่มสนใจฟุตบอลตั้งแต่ 6 ขวบ

สายเลือด ทูน อาร์มี่ ขนานแท้ ตั้งแต่รุ่นพ่อ

พ่อของ เชียร์เรอร์ คือสาวก ทูน อาร์มี พันธุ์แท้ นั่นจึงทำให้ลูกฟุตบอลไม่เคยห่างไกลจากชีวิตของ เชียเรอร์ เลย เขาจึงเป็นแฟนของ นิวคาสเซิล เช่นเดียวกับคุณพ่อ และฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้ลงสนามภายใต้สีเสื้อทัพ สาลิกาดง อย่างไรก็ตาม เส้นทางของ เชียร์เรอร์ ได้โอกาสออกไปผจญภัยกับทีมเยาวชนของ เซาแธมป์ตัน เป็นทีมแรกและเขาก็ใช้เวลาไม่นานในการเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ลงสนามในศึก ดิวิชั่น 1 ในปี 1987 แถมยังทำผลงานน่าประทับใจ ด้วยการกระหน่ำไปถึง 43 ประตูรวมทุกรายการตลอด 4 ซีซั่นในสีเสื้อทัพ นักบุญแดนใต้

สำหรับในศึกพรีเมียร์ลีก ณ เวลานั้น เรียกได้ว่ายังคงใหม่แกะกล่อง และหากจะหานักเตะสักคนที่มีครบจบทุกอย่างในตัวคนเดียว อลัน เชียร์เรอร์ ก็น่าจะอยู่ในลิสต์นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เลี้ยง ส่ง โหม่ง ยิง ฟรีคิก เตะมุม จุดโทษ ฮอตชอต ทำมันมาให้เห็นจนได้รับการยอมรับ และแน่นอนว่าด้วยสภาพร่างกายอันแข็งแกร่ง ประกอบกับทัศนคติการเล่น และความเป็นมืออาชีพ มันจึงไม่แปลกที่ช่วงพีคของ เชียร์เรอร์ มันช่างยาวนานเหลือเกิน

ฤดูกาล 1992-93 แม้ เชียร์เรอร์ จะถูกหมายหัวโดยทีมยักษ์ใหญ่ทั่วทั้งเกาะ อังกฤษ แต่เจ้าตัวก็เลือก แบล็คเบิร์น ที่เป็นสโมสรแรกที่แสดงออกถึงความปรารถนาในการที่จะได้ตัวเขามาผลิตสกอร์ให้ ด้วยย้ายไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 3.6 ล้านปอนด์ การย้ายทีม ณ ตอนนั้นเป็นสถานการณ์ที่วินๆกันทั้งสองฝ่าย เพราะ เชียเรอร์ ก็ตอบแทนความไว้วางใจของ เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือของทีม ณ เวลานั้น ด้วยการกระหน่ำไปอีกถึง 22 ประตูจากการลงสนาม 26 เกมรวมทุกรายการ ในปีแรกกับถิ่น อีวู้ด ปาร์ค

สร้างประวัติศาสตร์กับทัพ กุหลาบไฟ

ซึ่งความร้อนแรงของ เชียร์เรอร์ กับ แบล็คเบิร์น ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เมื่อ ฮอตชอต กระหน่ำยิงประตูแบบไม่พักในอีก 3 ซีซั่นต่อมา แถมยังพา กุหลาบไฟ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1994-95 ด้วย ฤดูกาล 1995-96 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เชียร์เรอร์ กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เจ้าตัวสั่งลาด้วยการรัวไปอีก 37 ประตูรวมทุกรายการ

หากนับเฉพาะในศึกพรีเมียร์ลีก เพียวๆ ฮอตชอต ผลิตสกอร์ให้กับ กุหลาบไฟ ตลอด 4 ฤดูกาลไปทั้งสิ้น 130 ประตูจากการลงสนาม 171 นัด พร้อมกับคว้ารางวัลส่วนตัวมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น นักเตะแห่งปีของสมาคมนักเตะอาชีพของอังกฤษ หรือ PFA ,ผู้เล่นแห่งปีของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ,รางวัลรองเท้าทองคำจากการคว้าตำแหน่งดาวซัลโวในซีซั่น 1994-95 นอกจากนี้ยังติดทีมยอดเยี่ยมของ PFA 4 ฤดูกาลติดต่อกันด้วย

บอกปัด เฟอร์กี้ วิ่งหนีทัพ ปีศาจแดง

ฤดูกาล 1996-97 ฮอตชอต หลังโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในสีเสื้อ ทีมชาติอังกฤษ ในศึก ยูโร 96 ด้วยการยิงไปถึง 5 ประตู จนทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จัดการยื่นข้อเสนอเข้ามาทาบทาม เชียร์เรียร์ เป็นหนที่ 2 อย่างไรก็ตาม ตัดสินใจทำตามความฝันหลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แบล็คเบิร์น ด้วยการย้ายไปเล่นให้กับทีมรักอย่าง นิวคาสเซิ่ล ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นสถิติ ณ เวลานั้น เชียร์เรอร์ คว้ารางวัลดาวซัลโวและผู้เล่นแห่งปีได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะคว้าแชมป์ลีกมาให้กับ นิวคาสเซิล และ เควิน คีแกน หนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร

สำหรับ เชียร์เรอร์ อาจไม่ใช่กองหน้าในเวอร์ชั่นที่จะเลี้ยงหลบแนวรับของคู่แข่งเป็นโขยง แต่หัวหอกผู้นี้คือหนึ่งในกองหน้าที่จมูกไวและเต็มเปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณนักล่า และนับเป็นกองหน้าที่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาดที่สุดคนหนึ่งของ อังกฤษ หรือหากจะบอกว่าของโลกก็คงจะไม่ผิดนัก

โดยตลอดระยะเวลา 10 ฤดูกาลในถิ่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ค เชียร์เรอร์ ไม่สามารคว้าแชมป์ใดๆได้กับ นิวคาสเซิล แถมยังแพ้ในรอบชิง เอฟเอ คัพ ถึงสองครั้งสองครา แต่ศูนย์หน้าเจ้าของท่าดีใจท่าเดียวก็ยืนยันว่าไม่เคยเสียใจเลยที่ปฏิเสธโอกาสในการได้ไปอยู่ในทีมยุครุ่งเรืองที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เพราะอย่างน้อยที่สุด เชียร์เรอร์ ก็ได้สานฝันของแกในวัยเด็กของตัวเอง ด้วยการสวมปลอกแขนกัปตันทีมให้พลพรรค สาลิกาดง พร้อมยังจารึกชื่อตัวเองไว้ในประวัติศาสตร์ จากการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรโดย การยิงไปทั้งหมด 206 ประตู รวมทุกรายการ ทำลายสถิติเดิมของ แจคกี้ มิลเบิร์น

ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลแห่งศึกพรีเมียร์ลีก

เท่านั้นยังไม่พอ เชียร์เรอร์ ยังสอยประตูในเกมลีกกับ นิวคาสเซิล ไปอีกถึง 148 ประตู พร้อมทำสถิติยิงเกิน 100 ประตูในลีกอังกฤษได้กับสองสโมสร ทั้งกับ แบล็คเบิร์น และ นิวคาสเซิล ที่ 112 และ 148 ประตู ตามลำดับ ซึ่งนั่นทำให้ เชียร์เรอร์ ยังกลายเป็นราชาครองสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยจำนวน 260 ประตู

10 อันดับดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของศึกพรีเมียร์ลีก
1. อลัน เชียร์เรอร์ 260 ประตู
2. แฮร์รี เคน 213 ประตู
3. เวย์น รูนี่ย์ 208 ประตู
4. แอนดี้ โคล 187 ประตู
5. เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ 184 ประตู
6. แฟร้งค์ แลมพาร์ด 177 ประตู
7. เธียร์รี่ อองรี 175 ประตู
8. ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ 163 ประตู
9. เจอร์เมน เดโฟ 162 ประตู
10. โม ซาลาห์ 157 ประตู

หลังจากอยู่รับใช้ นิวคาสเซิ่ล มานานร่วมทศวรรษ ในฤดูกาล 2005/06 เชียเรอร์ ตัดสินใจแขวนสตั๊ด จากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า โดยแม้ เชียเรอร์ อาจไม่ได้เกียรติยศมากเท่าที่ควร

แต่ก็เป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนบนโลกที่ยอมทำตามความฝันและเล่นบอลเพื่อสิ่งที่ตัวเองปราถนา ฮอตชอต มีโอกาสย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 2 ครั้ง แต่กลับปฎิเสธถึง 2 ครั้ง เพราะเชื่อว่าขอเพียงได้เล่นในทีมที่ตนเองรัก และทุกๆคนได้จดจำว่าตัวเองเป็นหนึ่งในตำนานของทีม นิวคาสเซิล แค่นี้เขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ

เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค