แมนฯ ยูไนเต็ด ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะ ไบรท์ตัน จากการดวลจุดโทษ 7-6 นับเป็นการแก้ตัวจากนัดก่อนที่แพ้ เซบีญ่า 3-0 จนต้องตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ยูโรปา ลีก

บทความนี้เราชวนมาเจาะประเด็น 5 ข้อ ที่ช่วยให้ “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด ผ่านด่าน ไบรท์ตัน จนเข้าไปสู่นัดชิงชนะเลิศสำเร็จ จะมีประเด็นใดบ้างไปดูกันเลย

กำแพงเหล็กแนวรับ

1. ก่อนเกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีปัญหาในเกมรับเนื่องจาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ติดโทษแบน อีกทั้ง ราฟาแอล วาราน กับ ลิซานโดร มาร์ติเนซ หมดสิทธิ์ลงสนามเนื่องจากบาดเจ็บ ดังนั้น ลุค ชอว์ จึงถูกจับมาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจำเป็นอีกหนคู่กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ

ภาพที่ปรากฏออกมาในเกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด แม้จากสองเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวหลัก ถือว่ายอดเยี่ยม โดย ลุค ชอว์ เป็นตัวชนเดินเข้าใส่คู่แข่ง วิกเตอร์ ลินเดอเลิฟ เข้าสกัดจังหวะสำคัญได้ตลอด ดิอาโก้ ดาโลต์ ช่วยเคลียร์บอลจังหวะอันตรายในเขตโทษได้หลายหน และผู้เล่นแนวรับที่โดดเด่นมากในเกมนี้นั่นคือ อารอน วาน-บิสซาก้า ที่ตัดวงจรการทำเกมของ คาโอรุ มิโตมะ ได้อยู่หมัดแบบหมดจด

แท็คติกของเทนฮาก

2. ทีมไบรท์ตันชุดนี้ให้ความสำคัญในเรื่องของทีมเวิร์ค โดยเน้นไปที่ระบบการเล่นสำคัญกว่าความสามารถส่วนบุคคล ซึ่งมีจุดเด่นในการต่อบอลที่แม่นยำ นอกจากสามารถแก้เพรสซิ่งของทีมคู่แข่งได้อย่างชำนาญพวกเขายังบีบเพรสซิ่งแย่งบอลจากคู่แข่งได้ดีอีกด้วย

ดังนั้นแล้ว เอริก เทน ฮาก กุนซือชาวดัตช์วางแผนให้ลูกทีมเล่นเกมรับอย่างรัดกุม และระมัดระวังอย่างจงหนัก ก่อนหาจังหวะตอบโต้อย่างฉาบฉวยด้วยผู้เล่นในแผนกเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ ผู้เล่นปีศาจแดงไม่ขึ้นไปบีบสูง เพราะรู้ว่าคู่แข่งต่อบอลกันแม่นยำกว่า และคงไล่บอลไม่จนแน่ๆ จึงถอยมาปิดพื้นที่ในแดนแล้วรอดักจังหวะ จุดนี้ถือว่าเป็นการวางแท็คติกมาได้ถูกต้องจนนำไปสู่การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เสียประตูจนจบเกม 90 นาที รวมไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ

หลวงพ่อเดโชว์เซฟ

3. ดาบิด เด เคอา โชว์ความหนึบเซฟช่วยทีมเห็นๆถึงสามครั้งช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด รอดพ้นจากการเสียประตูหลังเจ้าตัวก่อความผิดพลาดในเกม ยูโรปาลีก แต่สามารถแก้ตัวได้ทันควันในเกมนี้ จนครบ 90 นาที ซึ่งต่างก็ไม่อาจเอาชนะกันได้ในเกมที่สุดสูสี ซึ่งประตูเดียวสามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ ไบรท์ตัน ยังเหนือกว่าเช่นเดิมในแง่ของการครองบอล 62:38% และพลิกกลับมามีโอกาสคลำเป้ามากกว่า 12:10 ครั้ง

แต่ทั้งสองฝ่ายส่งบอลเข้ากรอบได้เท่ากัน 4 ครั้งก่อนที่ต้องเหนื่อยกันต่ออีกครึ่งชั่วโมงเพื่อหาทีมชนะ ซึ่งแน่นอนว่าหลังสู้กันครบ 120 นาทีโดยผลลัพธ์จบลงแบบไม่มีสกอร์ เกมยังคงสูสีโดยต่างก็มีโอกาสส่องยิงเท่ากัน 15 ครั้ง แต่ ผีแดง ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 6:5 ครั้ง แม้จะครองบอลเป็นรองเหมือนเดิม 61:39% จุดนี้ก็ต้องให้ ดาบิด เด เคอา ที่มีส่วนช่วยทีมเก็บคลีนชีตจนนำไปสู่การดวลเป้าตัดสิน

ความนิ่งในการดวลจุดโทษ

4.  ผู้เล่น 5 คนแรกของทีม “นกนางนวล” ยิงจุดโทษสำเร็จทุกราย หมายความว่านักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องยิงจุดโทษ เพื่อตีเสมอตลอด ซึ่งมันกดดันมากกว่า แต่ลูกทีมของ เอริค เทน ฮาก ก็แบกรับความกดดันตรงจุดนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และเยือกเย็น แม้กระทั่งเข้าสู่ช่วง ‘ซัดเด้น เดธ’ ตอนถูกนำ 6-5 ที่ห้ามพลาดก็ยังอุตส่าห์ตามตีเสมอได้ก่อนที่เพชฌฆาตคนที่ 7 ของทีม ไบรท์ตัน จะสติแตกตะบันหลุดกรอบออกไปเอง จุดนี้ต้องยอมรับในความนิ่งของผู้เล่นที่รับหน้าที่ยิงจุดโทษของ “ปีศาจแดง” ทุกรายจริงๆ

สถิติและอาถรรพ์

5. แมนฯ ยูไนเต็ด ยังรักษาสถิติไม่แพ้ในซีซั่นนี้ได้ต่อไปเป็นเกมที่ 17 แล้วหากพวกเขามีสามมิดฟิลด์ลงเล่นพร้อมกันทั้ง กาเซมีโร่, แฟร์นันด์ส และ คริสเตียน เอริคเซ่น ด้าน นกนางนวล ยังทำลายอาถรรพ์ของ เวมบลีย์ ไม่ได้เช่นเคยเนื่องจากพวกเขาไม่เคยกำชัยในสังเวียนแข้งแห่งนี้ได้เลย

และมันเริ่มมาตั้งแต่ครั้งบู๊กับ ผีแดง ในนัดชิงดำถ้วย เอฟเอคัพ ปี 1983 แล้ว ในเกมที่ว่าทั้งสองทีมเสมอกัน 2-2 และในยุคนั้นซึ่งยังมีการเตะรีเพลย์แมตช์ปรากฏว่า ผีแดง ระเบิดฟอร์มเด็ดขยี้คู่ปรับรายนี้ได้แบบหายห่วง 4-0 ซิวแชมป์ไปครองตามระเบียบ รวมทั้งสิ้นจากการลงเล่นที่ เวมบลีย์ ห้าครั้ง ไบรท์ตัน ยังไม่เคยลิ้มรสกับชัยชนะจากผลงานเสมอหนึ่ง แพ้สี่

188BET ทางเข้า (ล่าสุด)