ในช่วงทศวรรษ 1990 ถือเป็นอีกหนึ่งยุคทองของวงการฟุตบอลทีมชาติอิหร่าน หลังจากที่พวกเขาเนรมิตผลงานอันโดดเด่นในเวทีระดับเอเชีย รวมทั้งในสังเวียนแข้งระดับโลกอย่างศึก ฟีฟ่า เวิลด์คัพ โดยพลพรรค ขุนพลเปอร์เซีย ถือเป็นขาประจำในเวทีฟุตบอลโลก ในฐานะยักษ์ใหญ่จากทวีปเอเชีย โดยคาแรกเตอร์ของ อิหร่าน ตั้งแต่อดีตตลอดมาจนถึงยุคดังกล่าว ล้วนเต็มไปด้วยการผสมผสานกันระหว่างผู้เล่นที่มีเทคนิคยอดเยี่ยม กับเหล่าบรรดาแข้งพรสวรรค์ ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่คู่แข่งต่างยำเกรงในยุคหนึ่งของโลกฟุตบอล
ขุนพลเปอร์เซีย ขาประจำเอเชียในฟุตบอลโลก
ทีมชาติอิหร่านในยุค 90 โดดเด่นด้วยสไตล์การเล่นที่รวดเร็วและแข็งแกร่ง ผสมผสานการเล่นเกมรุกที่ดุดันและการป้องกันที่เหนียวแน่น อิหร่าน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในศึก เอเชียนคัพ โดยคว้าอันดับ 3 ในปี 1996 ที่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งพวกเขามีเกมที่น่าจดจำ เช่น การถล่ม เกาหลีใต้ 6-2 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก อิหร่าน จบอันดับ 2 ในรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้ต้องไปเล่นเพลย์ออฟกับ ญี่ปุ่น ก่อนจะแพ้ไป 3-2 ทำให้ อิหร่าน ต้องลงเล่นเพลย์ออฟอีกครั้งกับ ออสเตรเลีย ในเดือนพฤศจิกายน 1997
ซึ่งเกมนี้ถือเป็นเกมในความทรงจำและเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของ อิหร่าน เลยทีเดียว โดยเกมแรกในเตหะราน เสมอกัน 1-1 ก่อนที่เลก 2 ที่ซิดนีย์ แม้ อิหร่าน จะถูกนำไปก่อน 2-0 แต่สุดท้ายพวกเขากัดฟันไล่ตามตีเสมอ 2-2 ได้ราวปาฏิหาริย์ จากประตูของ คาริม บาเกรี และ โคดาด อาซิซี่ ส่ง อิหร่าน เข้าสู่ ฟร้องซ์ 98 ด้วยกฎประตูทีมเยือน
ผู้เล่นในทีมหลายคนมีความสามารถเฉพาะตัวสูงและมีประสบการณ์จากการค้าแข้งในลีกต่างประเทศ โดยเฉพาะกองหน้าระดับตำนานอย่าง อาลี ดาอี ผู้เป็นเจ้าของสถิติยิงประตูในทีมชาติได้มากที่สุดในโลกในขณะนั้นด้วยจำนวน 109 ประตู ก่อนจะถูก คริสเตียโน โรนัลโด ทำลายในปี 2021 ซึ่งด้วยความสามารถในการทำประตูและเล่นลูกกลางอากาศที่ยอดเยี่ยมทำให้ ดาอี นอกจากจะทำให้หัวหอกรายนี้โดดเด่นในระดับเอเชียแล้ว ดาอี ยังเป็นที่ยอมรับในระดับยุโรป หลังจากเคยล่าตาข่ายให้กับ บาเยิร์น มิวนิก ใน บุนเดสลีกา เยอรมัน มาแล้ว
ยุคเปลี่ยนถ่าย การลองผิดลองถูกของ อิหร่าน
ช่วงระหว่างปี 1997-2002 ถือเป็นช่วงเวลาที่ทีมชาติอิหร่าน ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเหตุผลสำคัญมาจากปัญหาการปรับตัวและความคาดหวังของสมาคมฟุตบอลอิหร่าน โดยเฉพาะในตำแหน่งกุนซือ ไล่ตั้งแต่การแต่งตั้ง วาฮิด ฮาลิลฮอดซิช กุนซือชาวบอสเนีย แต่ก็ทำงานได้ไม่นานก็ถูกยกเลิกสัญญา หลังจากนั้นก็มียอดกุนซือชาวยูเครนอย่าง วาเลรี ลาบานอฟสกี เข้ามารับไม้ต่อ แต่สุดท้ายชะตากรรมก็จบลงเช่นเดียวกับ ฮาลิลฮอดซิช นั่นก็คือถูกปลดออกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสมาคมฟุตบอลอิหร่านก็ประกาศแต่งตั้ง โทมิสลาฟ อิวิช ผู้จัดการทีมชาวโครเอเชีย เข้ารับตำแหน่งในปี 1997 เพื่อเตรียมทีมสำหรับฟุตบอลโลก 1998 แต่สุดท้ายก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งก่อน เวิลด์คัพ รอบสุดท้าย เนื่องจากมีความขัดแย้งกับสมาคมฯและนักเตะ
หลังจากปลด โทมิซลาฟ อิวิช สมาคมลูกหนังอิหร่านแต่งตั้ง จาลาล ทาลิบี อดีตกองหลังทีมชาติ เป็นกุนซือในช่วงฟุตบอลโลก 1998 ซึ่งภายใต้การคุมทีมของ ทาลิบี อิหร่าน สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าจดจำ และแม้ว่าในศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส และแม้จะ อิหร่าน จะตกรอบแบ่งกลุ่ม แต่ทีมชุดนี้ได้สร้างความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนแก่แฟนบอลอิหร่านและแฟนบอลทั่วโลก
อิหร่าน ยุคทองกับเหล่าแข้งระดับตำนาน
สำหรับผู้เล่นคนสำคัญในยุคนั้น นอกจากตำนานกองหน้าอย่าง อาลี ดาอี แล้ว ยังมีอีกหนึ่งตำนานอย่าง จาวัด เนคูนาม ที่แม้จะเริ่มต้นเส้นทางทีมชาติในช่วงปลายยุค 90 แต่เขากลายเป็นผู้เล่นสำคัญในยุคต่อมา ด้วยบทบาทกัปตันทีมและความสามารถในการสร้างสรรค์เกมจากแดนกลาง โดย เนคูนาม เป็นเจ้าของสติผู้เล่นติดทีมชาติอิหร่นานมากที่สุดด้วยจำนวน 149 นัด นอกจากนี้ยังมี เมห์ดี มาดาวิเคีย ปีกขวาที่เคยค้าแข้งกับ ฮัมบูร์ก ในช่วงระหว่างปี 1999-2007 แถมยังคว้าแชมป์ อินเตอร์โตโต้ คัพ กับทัพ สิงห์เหนือ 2005
อาห์มัด เรซา อับเบดซาเดห์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม และเป็นกัปตันทีมชาติในชุดนั้น ส่วน โคดาด อาซิซี่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่มีความเร็วและเทคนิคยอดเยี่ยม และมีบทบาทสำคัญในเกมเพลย์ออฟฟุตบอลโลก 1998 กับทีมชาติออสเตรเลีย โดยฮีโร่เป็นผู้ยิงประตูตีเสมอในเกมเลก 2 ที่ซิดนีย์ ส่งผลให้ อิหร่าน ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 1998 อีกหนึ่งผู้เล่นคือ คาริม บาเกรี กองกลางสารพัดประโยชน์ ที่มีบทบาทสำคัญทั้งในเกมรับและเกมรุก ความสามารถในการยิงไกลและการสร้างเกมทำให้เขาเป็นหัวใจของทีม
เกมประวัติศาสตร์ในความทรงจำของอิหร่าน
ในศึก ฟร้องซ์ 98 หนึ่งในเกมที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือเกม ในรอบแบ่งกลุ่ม ระหว่าง อิหร่าน กับ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1998 ที่สนามสตาด เดอ แชร์กล็อง เมืองลียง ซึ่งเกมนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติเท่านั้น แต่ยังมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ ในเรื่องของการเมือง เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ ตั้งแต่ปี 1979 ซึ่งเกิดจากการปฏิวัติอิหร่านและเหตุการณ์ยึดสถานทูตสหรัฐในเตหะราน
บรรยากาศก่อนการแข่งขัน FIFA ได้พยายามลดความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ทีม โดยสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างนักเตะทั้ง 2 ทีมด้วยการให้ นักเตะอิหร่าน มอบดอกกุหลาบขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ให้กับนักเตะสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้นักเตะทั้ง 2 ทีมยังร่วมถ่ายภาพหมู่กันก่อนเริ่มการแข่งขัน ซึ่งเป็นภาพที่สะท้อนถึงการสร้างมิตรภาพเหนือความขัดแย้งทางการเมือง
เกมนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกและครั้งเดียวของอิหร่าน ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในยุคนั้น ซึ่งสร้างความยินดีให้กับแฟนบอลอิหร่านอย่างมาก แม้ทั้ง 2 ประเทศจะมีความตึงเครียดทางการเมือง แต่เกมนี้แสดงให้เห็นว่าวงการกีฬาและฟุตบอลสามารถเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ และส่งเสริมความเข้าใจระหว่างกัน ขณะที่ประตูของ ฮามิด เอสติลี่ และ เมห์ดี้ มาห์ดาวิเคีย ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นฮีโร่ของ อิหร่าน ทันที
ซึ่งเกมนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของฟุตบอล แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการสร้างมิตรภาพและความเข้าใจ แม้จะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยาวนาน สุดท้ายแม้ อิหร่าน จะชนะในเกมนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ จากการจบอันดับ 3 ของกลุ่ม F อย่างไรก็ตาม ชัยชนะเหนือ สหรัฐอเมริกา ได้กลายเป็นจุดสูงสุดของทีมชาติอิหร่าน ในฟุตบอลโลก 1998
ซุปตาร์ แยกย้าย พลาดตั๋ว เวิลด์คัพ ฉบับเอเชีย
หลังจากศึกฟุตบอลโลก 1998 ดูเหมือนว่า อิหร่าน จะอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากผู้เล่นชุดนั้น เริ่มที่จะโรยรา และบอกลาการรับใช้ชาติไปทีละคนสองคน โดยต้นปี 2000 มิลาน ยิฟโควิช กุนซือชาวเซอร์เบีย เข้ามาคุมทีมชาติอิหร่าน เขาเน้นการพัฒนาผู้เล่นรุ่นใหม่ แต่ไม่สามารถสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ จากนั้น โมฮัมหมัด มายลี่ โคฮาน เป็นกุนซือชาวอิหร่าน ที่ได้รับโอกาสกลับมาคุมทีมในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากเคยคุมทีมในปี 1996 เขาเน้นการพัฒนาฟุตบอลในประเทศ แต่ความสำเร็จในระดับนานาชาติยังไม่โดดเด่น
จนกระทั่งปี 2001 มิโรสลาฟ บลาเซวิช กุนซือชาวโครเอเชีย คุมทีม โดยเป็นผู้จัดการที่มีชื่อเสียงจากการนำทีมชาติโครเอเชีย คว้าอันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 1998 อย่างไรก็ตามขุนพล เปอร์เซีย ภายใต้การคุมทีมของเขา กลับไม่ประสบความสำเร็จ หลังแพ้ให้กับ ไอร์แลนด์ ในรอบเพลย์ออฟ ส่งผลให้ อิหร่าน พลาดการเข้าสู่รอบสุดท้ายศึก เวิลด์คัพ 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในหนนั้น
อิหร่าน ชุดปัจจุบันรั้งที่ 18 ฟีฟ่าแรงกิ้ง
สำหรับ ทีมชาติอิหร่าน ชุดปัจจุบัน อยู่ภายใต้การคุมทีมของ อาเมียร์ กาเลนโอนี มีแรงกิ้งอยู่อันดับที่ 18 ของโลก และมีผู้เล่นหลายคนที่ค้าแข้งในต่างประเทศ โดยเฉพาะในลีกยุโรปและตะวันออกกลางทั้ง โมฮัมเหม็ด กอร์บานี มิดฟิลด์วัย 23 ปีจาก โอเรนเบิร์ก และ โมฮัมเหม็ด โมเฮบี้ กองหลังวัย 26 ปีจาก รอสตอฟ ในรัสเซีย ,อาลี โกลิซาเดห์ ตัวรุกจาก เลซ ปอซนัน ในโปแลนด์ ,โมฮัมหมัด จาวาด ฮอสเซียนเนจาด จาก ดินาโม มาคัชคาลา ในรัสเซีย และ ซาอิด ซาฮาคิซาน กองหน้าดาวรุ่งวัย 21 ปีจาก โอเรนเบิร์ก
นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นตัวท็อปอย่าง “เมสซี่แห่งอิหร่าน” ซาร์ดาร์ อัซมูน กองหน้าวัย 30 ปี ที่เพิ่งจะค้าแข้งให้กับ อาแอส โรม่า ในอิตาลี โดยปัจจุบันเพิ่งจะย้ายไปค้าแข้งใน สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ กับ ชาบับ อัล อาลี ส่วนอีกรายก็คือ เมห์ดี้ ทาเรมี่ กองหน้าวัย 32 ปี ที่เคยค้าแข้งกับ ปอร์โต้ ในพรีเมียราลีกา โปรตุเกส ก่อนที่ปัจจุบันจะสังกัดอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน แห่งเวที กัลโช่ เซเรีย อา
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค