เป็นระยะเวลากว่า 20 ปีที่ เชลซี อยู่ภายใต้การบริหารงานของ โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของสโมสร เชลซี เมื่อปี 2003
ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พลพรรค สิงโตน้ำเงินคราม ก็อัพเลเวลพร้อมกับสถานปนาตัวเองเป็นทีมชั้นนำของยุโรป ได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี โดยเสี่ยหมี เข้ามาทุ่มทุนสร้างทีม พร้อมกับเนรมิตโทรฟี่แชมป์ที่สาวก เดอะ บลูส์ รอคอยเข้ามาประดับตู้โชว์แทบจะทุกรายการที่ลงแข่งขัน อันประกอบไปด้วย แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 สมัย ,แชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 5 สมัย ,แชมป์ยูฟ่ายูโรป้าลีก 2 สมัย ,แชมป์ เอฟเอ คัพ 5 สมัย ,แชมป์ลีกครับ 3 สมัย และแชมป์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ อีก 2 สมัย
ดิดิเยร์ ดร็อกบา กว่าจะเจอคนที่ใช่ของ เชลซี
ในยุคของ โรมัน อับราโมวิช มีนักเตะมากหน้าหลายตา ที่เดินเข้ามารับค่าจ้างกับตัวเลขอันสวยงามในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ จากทั่วทุกสารทิศ แต่ก็ใช่ว่าทุกรายจะประสบความสำเร็จ บางรายฝีเท้าดี แต่มีเรื่องมีราวนอกสนามจนต้องหมดอนาคตกันไป โดยกว่าที่ เชลซี จะประสบความสำเร็จในยุคของเสี่ยหมี พวกเขาลองผิดลองถูกมาแล้วมากมายกับการจับจ่ายใช้สอยซื้อนักเตะ โดยเฉพาะในช่วงยุคแรกๆของ เสี่ยหมี ที่พวกเขาพยายามหากองหน้าตัวจบสกอร์เข้าสู่ทีม
สำหรับกองหน้าคนแรกที่ เชลซี ซื้อตัวมาร่วมทีมในยุค โรมัน อับราโมวิช ก็คือ อาเดรียน มูตู กองหน้าทีมชาติโรมาเนียที่ย้ายมาจาก ปาร์ม่า ด้วยค่าตัว 15.8 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตามหลังผ่านไปฤดูกาลกว่าๆ มูตู ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเสพโคเคน จนสโมสรต้องยกเลิกสัญญากับ มูตู ไปในที่สุด ขณะที่หัวหอกรายต่อมาที่ถูก เชลซี คว้าตัวมาร่วมทีมในยุค เสี่ยหมี ก็คือ เอร์นัน เครสโป ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนติน่า ที่ย้ายมาจาก อินเตอร์ มิลาน
โดยแม้ว่า เครสโป จะทำผลงานไปสวยกับ สิงห์บลูส์ แต่ก็อยู่ได้แค่ปีเดียว ก็ต้องย้ายกลับอิตาลี เนื่องจากมีปัญหาส่วนตัวกับการปรับตัวในอังกฤษ ทั้งเรื่องของภาษาและครอบครัว โดยแม้ว่า เครสโป จะกลับมาที่ เชลซี เป็นคำรบที่ 2 เมื่อปี 2005 หลังหมดสัญญายืมตัวจาก มิลาน แต่ เครสโป ก็ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สุดท้ายก็ถูกปล่อยยืมกลับอิตาลีจนกระทั่งหมดสัญญา
ในฤดูกาล 2004-05 นับเป็นฤดูกาลที่ เชลซี เสริมทัพได้อย่างบ้าคลั่ง ด้วยการทุ่มเงินราว 163 ล้านยูโร คว้านักเตะใหม่มาเสริมทีมมากมาย เพื่อเป็นการรับขวัญ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือโปรตุกีสที่ย้ายจาก เอฟซี ปอร์โต้ มารับงานถิ่น สแตมป์ฟอร์ด บริดจ์ ทัพ สิงห์บลูส์ คว้านักเตะโปรตุกีส เพื่อมาซับพอร์มการทำทีมของ มูรินโญ ไม่ว่าจะเป็น ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ เปาโล เฟร์เรร่า ติอาโก้ เมนเดส
ขณะที่ตำแหน่งกองหน้าพวกเขาปิดดีลคว้า มาเตย่า เคซมัน กองหน้าทีมชาติเซอร์เบีย ที่ย้ายมาจาก พีเอสวี ไอน์โฮเฟน พร้อมๆกับ อาร์เยน ร็อบเบน อย่างไรก็ตามผลงานของ เคซมัน กลับตรงกันข้ามกับ ร็อบเบน เมื่อเจ้าตัวยิงไปเพียง 7 ประตูจากการลงเล่น 41 นัดและได้อยู่ค้าแข้งในสีเสื้อ สิงโตน้ำเงินคราม เพียงซีซั่นเดียวก่อนถูกปล่อยไปอยู่กับ แอตเลติโก้ มาดริด ในศึกลา ลีกา สเปน
โดยแม้ว่าผลงานของ เคซมัน จะน่าผิดหวัง แต่ในปีเดียวกันนั้นการเข้ามาของกองหน้าทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ อย่าง ดิดิเยร์ ดร็อกบา ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตามองเพราะค่าตัวของหัวหอกรายนี้ที่ เชลซี ต้องจ่ายให้กับ โอลิมปิก มาร์กเซย นั้นสูงถึง 24 ล้านปอนด์ ซึ่งเหตุที่ สิงห์บลูส์ กล้าจ่ายราคานี้ นั่นก็เป็นเพราะการการันตีของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ประทับใจและหลงรัก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา หลังพา ปอร์โต้ บุกไปเอาชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย ของ ดร็อกบา 3-2 ในศึก ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาลก่อนหน้านั้น
“ตอนนั้น โรมัน บอกผมว่าถ้าผมต้องการ โรนัลดินโญ่ เขาก็จะนำตัวมาให้ แต่ผมบอกไปว่าไม่..!! ผมต้องการ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา”
ประโยคให้สัมภาษณ์ของ มูรินโญ่ ที่ออกมายอมรับว่าอยากได้ตัว ดร็อกบา มาร่วมทีมมากกว่า โรนัลดินโญ่ ด้วยซ้ำ โดย ดิดิเยร์ ดร็อกบา เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1978 ณ เมืองอาบีจาน เมื่อหลวงของไอวอรี่ โคสต์ โดย ดร็อกบา เริ่มซึมซับศาสตร์ฟุตบอลตั้งแต่อายุได้เพียง 5 ขวบ เมื่อถูกครอบครัวส่งไปอยู่ที่ฝรั่งเศส กับคุณลุงที่เป็นนักฟุตบอลอาชีพอยู่ที่นั่น 3 ปีก่อนกลับมาที่บ้านเกิด
จนกระทั่ง 3 ปีต่อมา ดร็อกบา กลับไปที่แดนน้ำหอมอีกครั้ง พร้อมกับเข้าร่วมเป็นสมาชิกในทีมเยาวชนของ เลอวัล ลัวส์ในลีกระดับ 2 นอกกรุงปารีส ด้วยวัย 15 ปี ก่อนย้ายไปอยู่กับ เลอม็องส์ ในฤดูกาล 1997–98
โดย ดร็อกบา ใช้เวลาเพียงปีเดียว ก่อนถูกดันขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ของ เลอม็องส์ ซึ่งตลอดระยะเวลา 4 ซีซั่น ดร็อกบา ล่าประตูให้กับ เลอม็องส์ ไป 15 ประตูจากการลงสนาม 72 เกมรวมทุกรายการ ต่อมาเดือนมกราคม 2002 ดร็อกบา ย้ายไปอยู่กับ แก็งก็อง ในลีก เอิง และตะบันไปถึง 17 ประตูจากการลงเล่นในลีก 34 นัดกับระยะเวลา 1 ปีครึ่ง ซึ่งผลงานของ ดร็อกบา ไปเข้าตาสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย
และได้ย้ายไปค้าแข้งกับทัพ โอแอม ในปี 2003 และที่สโมสรแห่งนี้เองที่ ดร็อกบา ได้ปล่อยของแบบเต็มกราฟ เมื่อกลายเป็นส่วนสำคัญในการพา มาร์กเซย คว้ารองแชมป์ยูฟ่า คัพ ซึ่ง ดร็อกบา เป็นดาวซัลโวร่วมในรายการดังกล่าวจากการสังหารไป 6 ประตู
1 ปีที่ โอลิมปิก มาร์กเซย สู่แชมป์พรีเมียร์ลีกกับ เชลซี
ขณะที่สถิติรวมของ ดร็อกบา ในฤดูกาลนั้น เจ้าตัวตะบันไป 32 ประตู 7 แอสซิสต์จากการลงสนาม 55 เกมรวมทุกรายการ แถมยังมีดีกรีรองแชมป์ ยูฟ่า คัพ พ่วงด้วนนางวัลส่วนตัวอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกเอิง ,ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกเอิง ,นักฟุตบอลแห่งปีจาก Onze d’Or และดาวซัลโวร่วมของศึก ยูฟ่า คัพ ซึ่งนั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ดร็อกบา อยู่กับ มาร์กเซย ได้เพียงฤดูกาลเดียว
ดร็อกบา ย้ายไป เชลซี ในปี 2004 ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ และเพียงซีซั่นแรก ภายใต้คาถาของ โชเซ่ มูรินโญ่ ดร็อกบา กดไป 16 ประตูจากการลงสนาม 41 เกมรวมทุกรายการ พร้อมเป็นส่วนสำคัญในการพา เชลซี คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แถมยังเป็นฮีโร่ผู้ยิงประตูชัยให้ เชลซี ชนะ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกคัพมาครองในฤดูกาลนั้นด้วย
ซีซั่น 2005-06 ดร็อกบา ก็ยังคงทำประตูให้ทีมอย่างสม่ำเสมอด้วยจำนวน 16 ประตูในทุกรายการ และสามารถป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น ต่อมาในฤดูกาล 2006-07 ดร็อกบา เปลี่ยนหมายเลขเสื้อจากหมายเลข 15 เป็นหมายเลข 11 และในฤดูกาลนี้เขาก็ทำประตูได้มากเหลือเชื่อ ด้วยจำนวน 33 ประตูรวมทุกรายการ ซึ่งมากกว่า 2 ปีที่ผ่านมารวมกันเสียอีก อีกทั้งได้ตำแหน่งดาวซัลโวของศึกพรีเมียร์ ลีก ด้วยการยิงในลีกไป 20 ประตู
ดร็อกบา ขาลง? อาการบาดเจ็บ, แยกทาง มูรินโญ่
อย่างไรก็ตามในช่วงระหว่างปี 2007-09 เชลซี แยกทางกับ โชเซ่ มูรินโญ่ ขณะเดียวกัน ดร็อกบา ก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บรุมเร้าจนไม่สามารถโชว์ฟอร์มเด่นอย่างเคย ทำให้ในช่วง 2 ปีดังกล่าว ดร็อกบา ยิงไปเพียง 13 ประตูเท่านั้น เท่ากับว่าสถิติของ ดร็อกบา ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคู่บุญอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ หยุดอยู่ที่ 73 ประตู 40 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 186 นัด
จากการผนึกกำลังกันของ มูรินโญ่ และ ดร็อกบา พวกเขาช่วยกันพา เชลซี คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี หรือนับตั้งแต่แชมป์ ดิวิชั่น 1 ปี 1955 ส่วน ดร็อกบา กลายเป็นตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสร และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก ณ เวลานั้น ด้วยโดยหลังจากที่ฟอร์มตกลงไปจากปัญหาอาการบาดเจ็บในยุค อัฟราม แกรนท์ เรย์ วิลกิ้นส์ และ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่
จนกระทั่ง ฤดูกาล 2009-10 ดร็อกบา สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาดูดีมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของ กุส ฮิดดิงค์ ต่อด้วยการเข้ามาของ ของ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ทำให้ ดร็อกบา ได้ประสานงานดับ นิโคลาส อเนลก้า ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นคนสำคัญที่ช่วยให้ ดร็อกบา กลับมายิงประตูระเบิดเถิดเทิงอีกครั้ง
ทิ้งทวนสวยหรูยิงประตูชัยพา เชลซี ซิว UCL
ฤดูกาลนั้นหัวหอกที่คนไทยตั้งฉายาให้ว่า แมลงสาบ จัดการกระหน่ำไปถึง 37 ประตูจากการลงสนาม 44 เกมรวมทุกรายการ พร้อมกับคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่ 3 ของตัวเอง แถมยังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่ 2 จากการยิงในลีกไปถึง 29 ประตู และยังได้รับการโหวตเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีจากแฟนๆ พรีเมียร์ลีก ด้วย
หลังจากนั้นในยุคของกุนซือหนุ่มอย่าง อังเดร วิลลาส โบอาส รวมทั้ง โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ แม้ว่าฟอร์มของ ดร็อกบา จะดร็อปลงไปตามสังขารและกาลเวลา แต่เจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์กลายเป็นฮีโร่ด้วยการยิงประตูชัยใส่ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนสลีก ซิวโทรฟี่ บิ๊กเอียร์ เป็นการสั่งลา
ฤดูกาลถัดมา ดร็อกบา ย้ายไปอยู่กับ เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว ในประเทศจีนเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนกลับมาเซ็นสัญญากับ กาลาตาซาราย ในลีกตุรกี ในช่วงต้นปี 2013 และช่วยให้ ต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนไก่งวง ได้ตั้งแต่ปีแรกที่เข้าไปรับใช้ทีม
กลับมาเพื่อคว้าแชมป์ มูรินโญ่ + ดร็อกบา ภาค 2 ครองดับเบิ้ลแชมป์
ไทม์ไลน์เดียวกันในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่ตอนนั้น โรมัน อับราโมวิช ตัดสินใจดึง โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมาคุมทีมเป็นคำรบที่ 2 ในปี 2013 และก็เหมือนบุพเพสันนิวาสเมื่อเป็น มูรินโญ่ ที่เกลี้ยกล่อม ดร็อกบา ให้หวนคืนสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้งในฤดูกาล 2014-15 อย่างไรก็ตามสถานะของ ดร็อกบา ครั้งนี้ ย้ายมาในนามแข้งรุ่นใหญ่ประสบการณ์สูง ที่ มูรินโญ่ หวังพึ่งบารมี
และความเป็นผู้นำของ ดร็อกบา กับภาคสองกับ เชลซี โดยกองหน้าไอวอรี่ โคสต์ ได้รับโอกาสลงสนาม 40 นัดยิงไป 7 ประตู แถมยังคว้าดับเบิลแชมป์สั่งลา ทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยที่ 4 และแชมป์ลีก คัพ สมัยที่ 3 ของตัวเอง
ปีถัดมา เขาได้เซ็นสัญญากับ มอนทรีออล อิมแพ็คเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ ในอเมริกาเหนือ ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ ฟีนิกซ์ ไรซิ่ง ในลีกระดับสองของยูไนเต็ด ซอคเกอร์ ลีก ในปี 2017 ในฐานะทั้งผู้เล่นและเจ้าของร่วม จนกระทั่งปี 2018 ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก็ได้ประกาศอำลาวงการฟุตบอลอย่างเป็นทางการด้วยวัย 40 ปี
ดร็อกบา ลงเล่นให้กับทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ ครั้งแรกในปี 2002 โดย ดร็อกบา ยิงไป 9 ประตูจาก 8 นัดแรกของรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2006 พร้อมช่วยให้ ไอวอรี่ โคสต์ ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งผลงานดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ดร็อกบา คว้ารางวัลนักเตะแอฟริกันแห่งปีในปี 2006 ด้วย ก่อนจะได้รับเกียรติสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติไอวอรี่ โคสต์
ในเวลาต่อมา นอกจากนี้ ดร็อกบา ยังพา ไอวอรี่ โคสต์ จบอันดับ 4 ในศึก แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชันส์ ในปี 2008 และทีมผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันในปี 2010 และ 2014
ดิดิเยร์ ดร็อกบา ฮีโร่และเทวดาในคราบนักกีฬาของ ไอวอรี่ โคสต์
นอกจากผลงานอันยอดเยี่ยมในสนาม โดยเฉพาะกับ เชลซี จนกลายเป็นตำนานดาวยิงของทีมแล้ว ยังมีอีกหนึ่งแง่มุมที่สุดยอดของ ดร็อกบา ที่หลายคนอายังไม่รู้ นั่นก็คือการที่เขาบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาล และตั้งมูลนิธิ ดร็อกบา เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้จำนวนมาก แถมครึ่งหนึ่งเมื่อ ดร็อกบา ขากลับไปยังบ้านเกิด
ในขณะที่เกิดสงครามกลางเมือง ที่สู้รบกันมายาวนานกว่า 5 ปี ดร็อกบา จึงตัดสินใจอัดคลิปรณรงค์ยุติสงครามกลางเมือง และกลายเป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อเจรจาถึงการหยุดยิงและสันติภาพในไอวอรี่ โคสต์ ด้วย
เท่านั้นยังไม่พอเมื่อ ดร็อกบา ยังเสนอให้ทีมชาติไอวอรีโคสต์ ไปเตะที่เมืองบูอาเก้ ซึ่งเป็นฐานรบที่สำคัญของฝ่ายกบฏ ซึ่งสุดท้ายทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏต่างเห็นชอบกับแผนการของ ดร็อกบา
และถือเป็นการแสดงออกทางสันติภาพ หลังจากมีข้อตกลงหยุดยิงในเดือนมีนาคมปี 2007 ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวนอกจาก ดร็อกบา จะเป็นตำนานกองหน้าผู้บ้าคลั่งของ เชลซี แล้ว ยังสามารถพูดได้ว่า ดิดิเยร์ ดร็อกบา คือฮีโร่และเทวดาในคราบนักกีฬาของปวงชวนชาวไอวอรี่ โคสต์ ด้วย
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค