จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับศึกฟุตบอลในระดับเมเจอร์จาก 2 ทวีปที่ห่างกันครึ่งซีกโลก ทั้งศึก เอเชียน คัพ แห่งทวีปเอเชีย รวมไปถึงศึก แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ แห่งทวีปแอฟริกา

2 ศึกต่างทวีป กับบทสรุปที่เหมือนกัน โดยมิได้นัดหมาย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ 2 รายการจบลงเหมือนๆกัน นั่นก็คือการคว้าแชมป์ของชาติเจ้าภาพทั้ง 2 ชาติไม่ว่าจะเป็น กาตาร์ ที่ป้องกันแชมป์เอเชียได้และ ไอวอรี โคสต์ ที่สร้างตำนานเกือบหลับ แต่กลับมาคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

ซึ่งก่อนที่ กาตาร์ จะคว้าแชมป์ เอเชียน 2023 มีชาติเจ้าภาพที่เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ทั้งหมด 6 ครั้ง นับตั้งแต่ที่มีการเปลี่ยนมาใช้ระบบแบบเริ่มจากรอบแบ่งกลุ่มแล้วตามด้วยรอบน็อกเอาท์ สุดท้ายแล้วก็มีถึง 4 ครั้งที่ทีมเจ้าถิ่นได้ฉลองแชมป์ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง ประกอบด้วย อิหร่าน ในปี 1976, คูเวต ในปี 1980, ญี่ปุ่น ปี 1992 และ ออสเตรเลีย ในปี 2015

สำหรับ 2 เจ้าภาพที่อกหักคาบ้านของตัวเองก็มีให้เห็นทั้ง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในปี 1996 ที่แพ้จุดโทษ ซาอุดิอาระเบีย รวมไปถึง ทีมชาติจีน ที่แพ้ ทีมชาติญี่ปุ่น ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง ในปี 2004 สำหรับ เอเชียน คัพ 2023 ที่สุดท้ายแล้ว กาตาร์ ก็สามารถคว้าแชมป์เอเชียได้ 2 สมัยติดต่อกัน จากแฮตทริคจุดโทษของ อัคราม อาฟิฟ เอาชนะ ทีมชาติจอร์แดน 3-1 ในเกมรอบชิงชนะเลิศ

ทีมชาติกาตาร์ สถาปนา กลายเป็นขาใหญ่ ในทวีปเอเชีย

การคว้าแชมป์ของ กาตาร์ ครั้งนี้ เท่ากับว่า เอเชียนคัพ 2 ครั้งหลังสุด กาตาร์ ยังไม่แพ้ใคร และเสียประตูเพียงแค่ 5 ประตูเท่านั้น นอกจากนี้ ทีมชาติกาตาร์ ภายใต้การคุมทีมของ ตินติน มาร์เกวซ อดีตกุนซือเอสปันญอล วัย 62 ปี ยังขยับไปรั้งที่ 37 ของโลก ด้วยคะแนน 1499.43 คะแนน และเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย จากการคำนวณของ Footyranking เว็บไซต์คำนวณคะแนนฟีฟ่าแรงกิ้งด้วย

ขณะที่ ญี่ปุ่น หล่นลงมา 1 อันดับ รั้งที่ 18 ของโลก ด้วยคะแนน 1614.33 คะแนน แต่ยังคงครองอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย ส่วนอันดับ 2, 3 และ 4 เอเชีย เป็นของ อิหร่าน (20 ของโลก), เกาหลีใต้ (22 ของโลก) และ ออสเตรเลีย (23 ของโลก) ตามลำดับ

สำหรับ ทีมชาติไทย ที่ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย แบบไม่เสียประตูให้ใครเลย ที่ถูกจัดอันดับอยู่ที่ 13 ในรายการนี้ ล่าสุดทัพ ช้างศึก ขยับขึ้นจากอันดับ 113 ของโลก มารั้งอันดับ 101 ของโลก ด้วยคะแนน 1206.58 คะแนน และเป็นทีมที่ได้คะแนนฟีฟ่า แรงกิ้ง มากที่สุดอันดับ 6 จาก 24 ชาติที่เข้าแข่งรายการเอเชียน คัพ 2023 พร้อมกับขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 17 ของเอเชีย

อัคราม อาฟิฟ ดาวซัลโวกาตาร์ กับดราม่าเรื่องเชื้อชาติ

ขณะที่ตำแหน่งดาวซัลโวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ได้แก่ อัคราม อาฟิฟ แนวรุกผู้ถูกตั้งฉายาว่าเป็น โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ แห่งกาตาร์ ที่มีพ่อเป็นนักฟุตบอลชาวโซมาเลีย-เยเมน ส่วนแม่เป็นชาวเยเมน นั่นหมายความว่า เขาไม่มีเชื้อสายกาตาร์ ในตัวเลย แม้จะเกิดในประเทศกาตาร์ก็ตาม นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างปี 2012-15 อาฟิฟ ยังเคยไปเล่นในชุดเยาวชนของทั้ง เซบีญ่า และ บียาร์เรอัล 2 ทีมจากในแดนกระทิงดุ แถมยังเคยค้าแข้งในเบลเยี่ยมกับ อูเปน มีสถิติตะบันไป 9 ประตู จาก 42 เกม

อันดับดาวซัลโว
1. อัคราม อาฟิฟ (กาตาร์) 8 ประตู
2. อายเมน ฮุสเซน (อิรัก) 6 ประตู 
3. อายาเสะ อูเอดะ (ญี่ปุ่น) 4 ประตู
3. ยาซาน อัล-ไนมัต (จอร์แดน) 4 ประตู

รางวัลประจำทัวร์นาเมนต์ เอเชียน คัพ 2023
รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม : อัคราม อาฟิฟ
ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม : เมชาล บาร์แชม
ทีมแฟร์เพลย์ : ทีมชาติกาตาร์

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลเอเชียน คัพ 2027 จะจัดขึ้นที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยเจ้าภาพจะใช้สนามแข่งขันทั้งหมด 10 แห่งใน 4 เมืองใหญ่เป็นสังเวียนการแข่งขันที่จะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2027

ไอวอรี่ โคสต์ เกือบหลับ แต่กลับมาเป็นแชมป์

ข้ามมาทางฝั่งการชิงชัยในศึกลูกหนังของทวีปแอฟริกา ที่ครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศ ไอวอรี่ โคสต์ โดยอย่างที่บอกไปว่าทัวร์นาเม้นต์นี้พลพรรค ช้างดำ เกือบหลับ แต่กลับมาชูถ้วย แชมป์แอฟริกา ได้แบบที่ต้องสังเวยกุนซือกลางศึกกันเลยทีเดียว

ไอวอรี่ โคสต์ ทำท่าว่าจะไปไม่รอดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม หลังเก็บได้เพียง 3 แต้มจาก 3 นัด และเป็นที่ 3 ของกลุ่มเอ โดยตอนจบเกมรอบแบ่งกลุ่ม สมาคมฟุตบอลแห่งทัพ ช้างดำ ตัดสินใจปลด ฌอง-หลุยส์ กาสเก้ต์ กุนซือของทีมกลางอากาศ และให้ เอแมร์ส ฟาเอ้ เข้ามาคุมทีมแบบขัดตาทัพ ทั้งที่ตอนนั้น ไอวอรี่ โคสต์ ก็ยังไม่รู้ว่าจะผ่านเข้ารอบน็อคเอาต์หรือไม่

เข้ารอบด้วยแต้มบุญ ,สังเวยกุนซือ

สุดท้าย ไอวอรี่ โคสต์ ก็ยังมีแต้มบุญเหลือ เมื่อผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบหวุดหวิด ในฐานะอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอันดับที่ 4 ซึ่งเป็นโควตาลำดับสุดท้าย ก่อนที่ “ช้างดำ” จะไปถึงตำแหน่งแชมป์จากการชนะ ไนจีเรีย 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และนับเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ของพลพรรค ช้างดำ หลังเคยชูโทรฟี่ใบนี้มาแล้วเมื่อปี 1992 และ 2015

นอกจากนี้ยังเป็นครั้งที่ 12 ที่ในประวัติศาสตร์ที่ประเทศเจ้าภาพคว้าแชมป์ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่อียิปต์เคยทำไว้เมื่อปี 2006 ขณะที่ เอแมร์ส ฟาเอ้ ก็กลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่ไม่ได้เริ่มคุมทีมตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนต์ด้วย นอกจากนี้ ไอวอรี โคสต์ เป็นทีมแรกในแอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ ที่จบอันดับ 3 ในรอบแบ่งกลุ่ม แต่สามารถกลับมาคว้าแชมป์ได้

จากแข้งที่เกือบเลิกเล่น สู่ฮีโร่ของคนทั้งชาติ

ซึ่งประตูชัยของ ไอวอรี่ โคสต์ มาจากนักเตะที่เกือบจะเลิกเล่นฟุตบอลไปแล้วอย่าง เซบาสเตียน อัลแลร์ ที่หากย้อนกลับไปเมื่อ 18 เดือนก่อน อัลแลร์ ต้องเจอโชคชะตาเข้ามาเล่นตลกร้ายใส่ เมื่อเจ้าตัวรู้สึกป่วยระหว่างซ้อมกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก่อนจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งอัณฑะ

หลังจากนั้น อัลแลร์ เข้ารับการรักษาทุกวิถีทางทั้งการทำคีโม รวมถึงผ่าตัดอีก 2 ครั้ง โดยในอีก 7 เดือนต่อมา หรือราวต้นปี 2023 อัลแลร์ กลายเป็นไอคอนของการเอาชนะโรคมะเร็ง ด้วยการกลับมาลงสนามอีกครั้งให้ ดอร์ทมุนด์ รวมถึงกลับมาเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติด้วยการซัดประตูชัยในช่วงท้ายเกมของรอบชิงชนะเลิศ

อันดับดาวซัลโว
1.เอมิลิโอ เอ็นซูเอ (อีควอทเรียล กินี) 5 ประตู 
2.เกลสัน ดาลา (แองโกลา) 4 ประตู
2.โมสตาฟา โมฮาเหม็ด (อียิปต์) 4 ประตู

รางวัลประจำทัวร์นาเมนต์ แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์
นักเตะยอดเยี่ยม :  วิลเลียม ทรูสต์-เอก็อง (ไนจีเรีย)
นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม : ไซม่อน อาแด็งกร้า (ไอวอรีโคสต์)
ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม :  รอนเวน วิลเลี่ยมส์ (แอฟริกาใต้)
แฟร์เพลย์ :  ทีมชาติแอฟริกาใต้

ทำเนียบแชมป์ แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ 10 ครั้งหลังสุด
2006 – อียิปต์
2008 – อียิปต์
2010 – อียิปต์
2012 – แซมเบีย
2013 – ไนจีเรีย
2015 – ไอวอรี่ โคสต์
2017 – แคเมอรูน
2019 – แอลจีเรีย
2021 – เซเนกัล
2023 – ไอวอรี่ โคสต์

สำหรับการแข่งขันฟุตบอล แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2025 จะจัดขึ้นที่ประเทศโมร็อกโก โดยเจ้าภาพจะใช้สนามแข่งขันทั้งหมด 6 แห่งใน 6 เมืองใหญ่เป็นสังเวียนการแข่งขันที่จะมีขึ้นในช่วงกลางปี 2025

สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันฟุตบอลจากอังกฤษ

เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค