เรียกได้ว่ากลายเป็นทีมที่เดาผลการแข่งขันยากที่สุดทีมนึงเลยทีเดียว สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ รูเบน อโมริม ที่ก่อนหน้านี้ แพ้มารัวๆมา 4 เกมติดต่อกัน รวมทุกรายการ ก่อนจะมาฟื้นไข้ในเกม แดงเดือด ที่สามารถบุกไปหยุดความร้อนแรงและแบ่งแต้มจาก ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์ 2-2 เมื่อคืนวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา
เกมแดงเดือดหนล่าสุดจบลงด้วยการแบ่งแต้มกัน ภายใต้สถิติที่น่าสนใจดังต่อไปนี การครองบอล ลิเวอร์พูล 60 เปอร์เซนต์ ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 40 เปอร์เซนต์ ขณะที่ โอกาสยิงประตู: ลิเวอร์พูล ได้จบ 15 ครั้ง เข้ากรอบ 7 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้จบ 10 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง ส่วนลูกเตะมุม ลิเวอร์พูล ได้ 8 ครั้ง , แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ 4 ครั้ง
ปีศาจแดง สู้ถวายหัว บุกควัก 1 แต้มจาก แอนฟิลด์
จากสถิติที่เกิดขึ้นแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะมีโอกาสทำประตูมากกว่า แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการกลับมาสู่เกมได้ ทำให้การแข่งขันครั้งนี้เป็นไปอย่างสนุกสนานและตื่นเต้นสมกับเป็นศึกแดงเดือด ซึ่งจาก 1 แต้มอันล้ำค่าที่ ปีศาจแดง คว้าออกมาจากรัง แอนฟิลด์ ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 13 มี 23 คะแนน จากการลงสนาม 20 เกม หยุดสถิติแพ้ 4 นัดติดต่อกันได้สำเร็จ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ยังคงรั้งเป็นจ่าฝูงจากการเก็บไป 46 แต้มจากการลงเล่น 19 เกม นำหน้า อาร์เซน่อล 6 คะแนน และแข่งน้อยกว่า 1 นัด
โดยเกมนี้ แม้ว่า ยูไนเต็ด ทำผลงานได้น่าประทับใจ โดยมีผู้เล่นหลายคนที่มาเค้นฟอร์มเก่งได้ทันเวลา ไม่ว่าจะเป็น บรูโน่ เฟร์นานเดส ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสให้กับทีม โดยเฉพาะการจ่ายบอลที่นำไปสู่ประตูแรกของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ซึ่ง ภายในยุคของ รูเบน อโมริม บรูโน่ ถูกปรับให้เล่นในตำแหน่งที่ลึกลงในแดนกลาง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในเกมรับและเชื่อมเกมรุก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถแบ่งแต้มจากลิเวอร์พูลได้ในศึก แดงเดือด ครั้งนี้
หลังจบเกม บรูโน่ ให้สัมภาษณ์เรียกร้องให้ทีมรักษาความสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่น เพื่อยกระดับผลงานในลีก
“สำหรับผมค่อนข้างหงุดหงิดนะ ถ้าเราเล่นได้แบบนี้ที่ ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีก แล้วทำไมเราจะเล่นแบบนี้กับทุกทีมไม่ได้? มันทำให้ผมหงุดหงิดในที่สุดผมก็ทำผลงานได้อย่างเหมาะสม เราบอกว่าเราต้องการอะไรมากกว่านี้จากตัวเราเอง เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีขึ้นจากฤดูกาลนี้ เมื่อตามหลัง 1-2 แล้วทำประตูได้ เป็นเรื่องดีที่ได้ 1 แต้ม แต่เราต้องการมากกว่านี้”
“ตอนนี้เรามีเกม เอฟเอ คัพ กับ อาร์เซนอล และมันจะเป็นเกมที่ยากมาก แต่เราอยากจะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง มันจะหยุดอยู่แค่นี้ไม่ได้ เราต้องนำความหงุดหงิดนี้มาสู่เกมถัดไป เพื่อทำความเข้าใจว่านี่คือระดับที่ควรจะเป็น หากเราทำได้ที่ แอนฟิลด์ เราก็ต้องทำได้ทุกที่”
มานูเอล อูการ์เต้ ,ดิยัลโล่ ตัวแปรสำคัญในวันที่ อโมริม ต้องการ
ด้าน มานูเอล อูการ์เต้ อดีตศิษย์เก่าของ อโมริม ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในแดนกลางของทีม โดยเจ้าตัวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่น่าประทับใจในบทบาทของตัวเอง อูการ์เต้ ทำหน้าที่เป็นตัวตัดเกมและตัวเชื่อมเกมกลางสนามได้อย่างยอดเยี่ยม เขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการอ่านเกม ด้วยการตัดบอลจังหวะสำคัญได้ โดยมีสถิติที่น่าสนใจทั้งการตัดบอลสำเร็จ 6 ครั้ง รวมถึงการแย่งบอลคืนได้อีกถึง 8 ครั้ง
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ ลิเวอร์พูล พยายามจู่โจมเร็ว อูการ์เต้ มีการเคลื่อนที่ที่คล่องตัวและสามารถกดดันคู่แข่งได้โดยไม่ทำให้เกิดช่องว่างในแดนกลาง สิ่งที่ทำให้ อูการ์เต้ โดดเด่น ในเกมนี้คือความแม่นยำในการผ่านบอล ไม่ว่าจะเป็นการผ่านบอลสั้นเพื่อครองบอล
หรือการส่งบอลยาวเปลี่ยนเกมที่สร้างความได้เปรียบในแดนหน้า ซึ่งเกมแดงเดือดหนแรกของ อูการ์เต้ เจ้าตัวมีเปอร์เซ็นต์การผ่านบอลสำเร็จถึง 88% ซึ่ง อีกจุดที่น่าชื่นชมคือความขยันและพลังงานของ อูการ์เต้ เขาไม่เพียงแค่เล่นเกมรับในตำแหน่งตัวเอง แต่ยังช่วยเติมเต็มในตำแหน่งที่เพื่อนร่วมทีมหลุดตำแหน่ง
อีกหนึ่งผู้เล่นที่เรียกได้ว่าโดดเด่นที่สุดในยุคของ อโมริม นั่นก็คือ อาหมัด ดิยัลโล่ ที่กลายเป็นฮีโร่ในศึกแดงเดือดครั้งนี้ ผลงานของ ดิยัลโล่ ถือว่าน่าพอใจ เขามีส่วนสำคัญในการช่วยทีมเก็บ 1 คะแนนจาก ลิเวอร์พูล และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเล่นในเกมใหญ่ได้อย่างไม่เกรงกลัว
โดยตลอดทั้งเกม ดิยัลโล่ เคลื่อนที่อย่างชาญฉลาด สร้างความกดดันให้กับแนวรับของ ลิเวอร์พูล ได้อย่างต่อเนื่อง แถมยังเป็นฮีโร่ยิงประตูตีเสมอให้ทัพ ปีศาจแดง ในเกมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ดิยัลโล่ ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการตัดสินใจในจังหวะสุดท้ายและความแม่นยำในการจบสกอร์
มากันที่หนึ่งผู้เล่นที่ตกเป็นเป้าโจมตีจากแฟนบอลมาตลอดแต่กลับทำผลงานดีขึ้นมาผิดหูผิดตาในเกมล่าสุดอย่าง ดีโอโก้ ดาโลต์ โดยในศึก แดงเดือด ดาโลต์ ได้รับมอบหมายให้ลงเล่นในตำแหน่งวิงแบ็กฝั่งซ้าย และมีบทบาทในการป้องกันการโจมตีจากฝั่งขวาของ ลิเวอร์พูล
โดยเฉพาะการรับมือกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แม้ว่าจะสามารถจำกัดโอกาสของ ซาลาห์ได้บ้าง แต่ยังมีบางจังหวะที่ถูกเจาะผ่าน ขณะที่เกมรุก ดาโลต์ พยายามสนับสนุนทีมด้วยการเติมเกมขึ้นไป แต่ยังขาดความแม่นยำในการเปิดบอลและการตัดสินใจในสถานการณ์สำคัญ ซึ่งนั่นจะะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับฟอร์มการเล่นของเขาในอนาคต
อโมริม สงสัย ทำไมเล่นดีตอนเจอ ลิเวอร์พูล
แม้ว่าจะ แมนฯ ยูไนเต็ด จะหยุดสถิติแพ้ติดต่อกันไว้ที่ 4 เกม และกลับมาสร้างผลงานที่น่าพอในจในศึก แดงเดือด อย่างไรก็ตามบทสัมภาษณ์หลังเกมของ รูเบน อโมริม นายใหญ่ ปีศาจแดง ดูเหมือนว่าจะไม่สบอารมณ์ ที่ลูกทีมทุ่มเฉพาะในการดวลกับ หงส์แดง ซึ่งแตกต่างจากเกมอื่นก่อนหน้านี้ ที่ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังสุดๆ โดยเผยว่า
“ผมคิดว่าเราคุมเกมได้ดีมาก ทุกครั้งที่ ลิเวอร์พูล มีโอกาส เราก็ควบคุมได้ เราได้ครองบอลในบางช่วง และเราก็สามารถสร้างความแตกต่างได้คุณจะเห็นได้ว่าในระหว่างเกม เราไม่ได้มีปัญหาตลอดเวลา เพราะเราครองบอลได้ เรียกฟาวล์ได้หลายครั้ง ควบคุมการการโต้กลับของ ลิเวอร์พูล ดังนั้นผมคิดว่านี่คือเกมที่ดี และผมคิดว่า แมนยู น่าจะชนะด้วยซ้ำ ผมหงุดหงิดและผิดหวังมากกว่าในเกมที่แพ้ให้ นิวคาสเซิล, บอร์นมัธ หรือ ฟอเรสต์ ซะอีก วันนี้ผิดหวังกันมากๆ ผมมีความสุขกับฟอร์มการเล่น แต่ผมไม่มีความสุขกับผลการแข่งขัน”
ด้าน รอย คีน อดีตกัปตันทีม ปีศาจแดง ที่รับบทกูรูวิเคราะห์เกมทางสถานีโทรทัศน์ก็ออกมาชื่นชมทีมของ อโมริม จากเกม แดงเดือด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า มีหัวจิตหัวใจที่คู่ควรกับตราสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตรงหน้าอกเสื้อ โดยเผยว่า
“แมน ยูไนเต็ด ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและทุ่มเท พวกเขาต่างมีความสามารถ และเป็นเกมที่พวกเล่นด้วยความเข้าใจถึงจิตวิญญานของความเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง แต่พวกเขาต้องทำแบบนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้เห็นในเกมอื่นๆด้วย”
เกือบเป็นฮีโร่ผีผลัก ฟาน ไดจ์ค รับหวิดโดน แม็คไกวร์ ซัดชัย
สำหรับ ลิเวอร์พูล การเสีย 2 คะแนนในบ้านอาจเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ยังคงมีความได้เปรียบในตารางคะแนน ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถใช้ผลการแข่งขันนี้เป็นแรงกระตุ้นในการปรับปรุงฟอร์มการเล่นในนัดต่อไป หลังจบเกม เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ปรากานหลังตัวเก่งของ หงส์แดง ก็ออกมายอมรับว่า ลิเวอร์พูล เกือบพลาดท่าในช่วงท้ายเกมให้กับทัพ ปีศาจแดง จากการยิงข้ามคานแบบน่าเหลือเชื่อของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ โดยเปิดเผยว่า
“มันอาจแย่กว่านี้มากหากเราซื่อสัตย์กับตัวเองอย่างแท้จริง พวกเขามีโอกาสดีในตอนท้ายที่ แฮร์รี แม็กไกวร์ ยิงข้ามคาน บางทีมันอาจแย่กว่านี้มาก ผมผิดหวังกับการเสียแต้มในบ้านมากๆ แต่มันเป็นอย่างนั้นไปแล้วและตอนนี้เราต้องก้าวต่อไป”
“เรานำ 2-1 จากนั้นเราต้องพยายามจัดการเกม และครองบอลให้นานกว่า 3 หรือ 4 พาสเป็นอย่างน้อย บางครั้งเราเสียบอลง่ายเกินไป และเราก็เปิดเกมมากกว่าที่ควรจะเป็น เราไม่สมบูรณ์แบบ เรายังต้องเรียนรู้ต่อไป”
สำหรับโปรแกรมนัดต่อไปของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะลงสนามในรายการ เอฟเอ คัพ ด้วยการบุกไปเยือนรัง เอมิเรตส์ สเตเดียม ของ อาร์เซน่อล ในวันที่ 12 มกราคม ก่อนจะกลับไปเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก ด้วยการเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รับมือ เซาธ์แฮมป์ตัน ในวันที่ 16 มกราคม ส่วน ลิเวอร์พูล จะลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ด้วยกรารบุกไปเยือน สเปอร์ส ในวันที่ 8 มกราคม
ต่อด้วยการลงสนามในรายการ เอฟเอ คัพ โดยจะเปิดสนาม แอนฟิลด์ พบกับ แอคเคอริงตัน สแตนลีย์ ในวันที่ 11 มกราคม
สนับสนุนโดย 188BET
เว็บเดิมพันจากต่างประเทศ
เปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 10 ปี การันตีความมั่นคงด้วยการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง บาเยิร์น มิวนิค