นักฟุตบอลที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ จอร์จี้ ฮาจี้ เพลย์เมกเกอร์เจ้าของฉายา “มาราโดน่าแห่งคาบสมุทรบอลข่าน” นักเตะผู้ตำนานแห่งทีมชาติโรมาเนีย ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดบนเส้นทางอาชีพของ อาเดรียน มูตู เขาคือผู้เล่นที่มีความรวดเร็ว คล่องแคล่ว ทักษะเทคนิคยอดเยี่ยม และความสามารถในการเลี้ยงลูกบอลอย่างเชื่องเท้า อีกทั้งยังชำนาญในลูกฟรีคิกและเป็นผู้สังหารลูกจุดโทษที่แม่นยำอีกด้วย
แม้จะมีพรสวรรค์เปี่ยมล้นในฝีเท้า แต่ มูตู มักได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีอุปนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ จนมักก่อเป็นเรื่องราวพฤติกรรมแย่ๆ นอกสนาม ด้วยสาเหตุนี้เองเขาจึงถูกมองว่าเป็นนักเตะที่มีฝีเท้าเก่งกาจแต่ไม่อาจบรรลุในศักยภาพที่แท้จริง…
เริ่มต้นอาชีพจากบ้านเกิดสู่ลีกใหญ่ยุโรป
มูตู เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพในปี 1996 กับทีม Argeş Piteşti ในบ้านเกิดโรมาเนีย จนกระทั่งปี 1998 เขาก็ได้โอกาสย้ายมาเล่นกับดินาโม บูคาเรสต์ สโมสรใหญ่แห่งลีกฟุตบอลโรมาเนีย ในฤดูกาล 1999/2000 มูตู ยิงประตูให้ทีมรวม 25 ประตู จากการลงสนาม 25 เกม ส่งให้ ดินาโม บูคาเรสต์ คว้าแชมป์ลีกโรมาเนียมาครองสำเร็จ พร้อมกับการเปิดบานประตูสู่เวทีลีกลูกหนังยุโรปแก่ตนเอง
ต่อมาในปี 1999 มูตู เดินทางมาค้าแข้งที่อิตาลี โดยเข้าร่วมทีมอินเตอร์ มิลาน แต่หลังการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงกับ โรนัลโด้R9, คริสเตียน วิเอรี่ หรือ โรแบร์โต้ บาจโจ้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับนักเตะทุกคนบนโลก ดังนั้น มูตู จึงถูกส่งตัวไปให้กับทีม เวโรน่า ในปี 2000
ฤดูกาล 2001/02 มูตู ซัด 12 ประตูในเซเรีย อา แม้มันไม่อาจช่วยให้ เวโรน่า รอดพ้นตกชั้น แต่ฝีเท้าของเขาพิสูจน์แล้วว่าดีพอสำหรับลีกสูงสุดของอิตาลี จนสโมสร ปาร์ม่า สนใจคว้าตัวไปร่วมทีมในปี 2002
มูตู ระเบิดฟอร์มสุดยอดกับ ปาร์ม่า ด้วยการกระทุ้งประตูไปถึง 18 ประตู จากการลงเล่น 31 นัด ทำให้ซื่อเสี่ยงของเขาหอมฟุ้งกระจายไปทั่วโลก มีสโมสรจ้องที่จะคว้าตัวเขาไปร่วมทีมเป็นจนวนมาก หนึ่งในนั้นคือสโมสรเชลซี จากอังกฤษ จนต่อมาในปี 2003 สโมสร เชลซี ได้ประกาศการคว้าตัว มูตูเข้าร่วมทัพด้วยค่าตัวสูงถึง 15.8 ล้านปอนด์
ชีวิตพลิกผันที่เชลซี
การมาของ มูตู สร้างความตื่นเต้นให้แฟน ๆ อย่างมาก เพราะ หลายคนรู้จักเขาดี จากการเล่นอย่างยอดเยี่ยมให้กับสโมสรในอิตาลี และ ทีมชาติจนมีข่าวหลายทีมอยากได้ตัวเขามาร่วมทีม ตั้งแต่ อาร์เซน่อล ไปจนถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เคยล่าลายเซ็นต์ของเขามาแล้ว
ซึ่ง มูตู ก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวังด้วยตำแหน่งหน้าต่ำที่ทำการสนับสนุนแนวรุกระดับอินเตอร์อย่าง ไอเดอร์ กุดยอห์นเซ่น และ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัลเซลเบงค์ ส่งผลให้ทีมเชลซีมีเกมรุกที่น่ากลัวมากทีเดียวในช่วงนั้น
ปีนั้น มูตู ทำผลงานได้ดีมาก เขาบวกสกอร์ให้เชลซีไปถึง 10 ลูก จากการลงเล่น 27 นัด เรียกว่า มีอนาคตที่สดใสสำหรับทีมอย่างยิ่ง
กระนั้นเองชะตาของเขาก็พลิกพันเมื่อ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ผู้ที่ซื้อตัวเขามาถูกโรมัน อบราโมวิช ปลดจากตำแหน่งหลังจบฤดูกาลนั้นทันที แม้จะทำทีมได้ที่สองก็ตาม และคนที่เข้ามาคือ โฆเซ่ มูริญโญ่ เดอะ สเปเชี่ยลวัน ผู้พาทีมปอร์โต้คว้าสามแชมป์รวมทั้งถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีคได้สำเร็จ ทำให้เจ้าของทีมชาวรัสเซียคว้าตัวเขามาทำทีมแทนทันที
การมาถึงของกุนซือจอมเฮี้ยบ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมกับนักเตะตัวรุกรายใหม่ๆ ทำให้ มูตู ได้รับโอกาสในการลงสนามน้อยลงจนหลุดไปเป็นตัวสำรอง และสถานการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้วหนักซ้ำไปอีกเมื่อ เชลซี ได้สืบทราบถึงพฤติกรรมนอกสนามของ มูตู จนต้องสั่งให้นักเตะรายนี้ไปตรวจหาสารกระตุ้นในร่างกาย
เพียงสองเดือนต่อมาองค์กรต่อต้านการโด๊ปยาก็ออกมาประกาศว่ามีโคเคนอยู่ในร่างกาย มูตู ทำให้เขาโดนแบนจากวงการฟุตบอลนาน 7 เดือน ซึ่งนั่นทำให้ชีวิตค้าแข้งของเขาอยู่ในจุดวิกฤต เนื่องจากถูกสโมสร เชลซี ตัดหางปล่อยวัดทันที
กลับอิตาลีกับความผิดซ้ำเดิม
ในเดือนมกราคม 2005 มูตู ตกลงเซ็นสัญญากับยูเวนตุส ทว่าจากผลงาน 11 ประตู จาก 46 นัด ตลอด 18 เดือนในตูริน ทำให้เขากลายเป็นส่วนเกินในทีมม้าลาย ก่อนจะเป็นฟิออเรนตินาที่ยื่นโอกาสครั้งใหม่เข้ามา และเขาก็ตอบแทนทีมวิโอลาได้อย่างคุ้มค่า ด้วยจำนวน 40 ประตู จาก 2 ฤดูกาลแรกกับทีมม่วงมหากาฬ
อย่างไรก็ดี ช่วงต้นปี 2010 เขาก็โดนเรื่องใช้สารต้องห้ามอีกครั้ง คราวนี้โดนโทษแบน 9 เดือนก่อนจะลดลงมาเหลือ 6 เดือน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับฟิออเรนตินาค่อยๆ แย่ลง จนแยกทางกันในที่สุด
“บางที ถ้าตอนนั้นผมตัดสินใจเลือกทางอื่น ผมอาจจะไปได้ไกลถึงบัลลงดอร์เลยก็ได้ แต่ผมก็ไม่อยากจะไปคิดถึงมันมากนัก” มูตูเคยกล่าวเอาไว้ทาง Corriere dello Sport
ในปี 2012 มูตู เซ็นสัญญากับสโมสรอฌักซิโอ้ ซึ่งโลดแล่นในลีกเอิงเวลานั้น และบอกว่าเขาได้ท้า ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ซึ่งกำลังเล่นให้ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ว่าจะยิงประตูให้ได้มากกว่า
เมื่อจบฤดูกาล 2012-13 อิบราฮิโมวิช ยิงได้ 35 ประตู ส่วนมูตูยิงได้ 11 ประตู แต่ในฤดูกาลต่อมา เขากลับยิงไม่ได้เลยตลอด 9 นัดแรก ทำให้ต้องแยกทางกับสโมสรในเดือนมกราคม 2014
ปลายอาชีพนักเตะ
ในช่วงบั้นปลายของชีวิตค้าแข้ง มูตูกลับไปเล่นในประเทศบ้านเกิด ก่อนจะหันมารับบทโค้ชทีมชาติโรมาเนีย รุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี เมื่อปี 2019 ซึ่งเขาบอกว่า ด้วยปัญหาเรื่องพฤติกรรมแบบที่เขามีในช่วงเป็นนักเตะ ทำให้เขาเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเข้ามารับงานนี้
“ผมคิดว่าผมคือคนที่เหมาะสมกับงานนะ เพราะผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากนักเตะมีปัญหาในเรื่องวินัย ผมผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากพวกนั้นมาแล้ว และผมก็กลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม”ถ้ามีนักเตะสักคนของผมเกิดทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา ผมก็คงจะบอกเขาว่าให้เรียนรู้จากมัน และอย่าทำผิดพลาดซ้ำอีก ผมกลับมาได้ และเล่นได้ดีกว่าเดิม ซึ่งพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ว่านักเตะดาวรุ่งที่ทำผิดพลาดควรได้รับความช่วยเหลือ ไม่ใช่ถูกตัดสินและทำลาย”
แน่นอนว่า อาเดรียน มูตู คือหนึ่งในผู้เล่นที่เปี่ยมพรสวรรค์แห่งโลกฟุตบอล ในช่วงที่ดีที่สุดของอาชีพ เขาเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัลลงดอร์เมื่อปี 2003 แต่หลังจากผ่านจุดสูงสุดบนเส้นทางอาชีพ ชีวิตของเขากลับต้องร่วงหล่นลงจากการกระทำของตัวเขาเอง
“ในปีแรกของผมกับเชลซี ผมทำงานร่วมกับเคลาดิโอ รานิเอรี ซึ่งเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม เขาอยากให้ผมอยู่ในทีม ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องส่วนตัวพวกเขา อะไรๆ มันก็คงจะเปลี่ยนไปจากนี้” มูตูกล่าวทาง BBC Sport