คำว่า ซูเปอร์ซับ หรือ Super sub มาจากคำเต็มว่า Super substitute นิยมใช้ในวงการแข่งขันกีฬา เช่น ฟุตบอล ซึ่งหมายถึง ผู้เล่นสำรองที่ถูกส่งลงมา แล้วช่วยแก้ไขสถานการณ์ของทีมให้ดีขึ้นทันที จนทีมสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำประตูได้ หรือจ่ายให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้ แล้วทีมได้รับชัยชนะก็ตาม
ฉะนั้น นอกจากบรรดานักเตะตัวหลัก ๆ ที่จะเป็นคนเดินเกมการแข่งขันจนให้ผลแพ้ชนะแล้ว เหล่าตัวสำรองเองก็ถือว่าเป็นทีเด็ดของผู้จัดการทีมไม่น้อยไปกว่านักเตะตัวจริงเลย
อย่างเมื่อปีก่อนในศึก ยูฟา แชมเปียนส์ลีก 2017-18 นัดชิงชนะเลิศที่ เรอัล มาดริด เอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปด้วยสกอร์ 3-1 ซึ่ง ซีเนอดีน ซีดาน ส่ง แกเร็ธ เบล ลงมาในช่วงครึ่งหลัง และเจ้าปีกเห้งเจียก็ตอบแทนความไว้วางใจด้วยการซัดคนเดียว 2 ประตู กลายเป็นฮีโร่ได้ในที่สุด
ส่วนในนัดชิงชนะเลิศปี 2018-19 ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส ผลจะเป็นอย่างไร และจะมี “ซูเปอร์ซับ” เกิดขึ้นในเกมนี้มั้ย ต้องติดตามชมกันในคืนวันที่เสาร์ 1 มิถุนายน
แต่ตอนนี้เรามาดูกันว่า 6 นักเตะดังที่เป็น “ซูเปอร์ซับ” ในเกมสำคัญอย่างถ้วย UCL มีใครเคนทำได้บ้างแล้ว….
5. ลาร์ส ริคเคน : นัดชิงฯ ปี 1997
ในปี 1997 ที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นแชมป์จากการเอาชนะ ยูเวนตุส ได้ด้วยสกอร์ 3-1 ณ สนาม โอลิมเปียสตาดิโอน เมืองมิวนิค ทัพเสือเหลืองที่เป็นม้ามืดครองความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอยู่ในช่วงพักครึ่ง เพราะนำ 2-0 จากการยิงเบิ้ลของ คาร์ล-ไฮน์ซ ริดเล
แต่พอครึ่งหลังเริ่มชึ้นรูปเกมก็พลิกแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ยูเวนตุส บุกกดดันเข้าใส่หนักหน่วงราวกับพายุบุแคมจน ดอร์ทมุนด์ แทบตั้งตัวไม่ติด จนกระทั่ง เดล ปิเอโร ตีไข่แตกสำเร็จในนาทีที่ 65 แน่นอนว่าหากปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ อาจจะโดนพลิกแซงได้อย่างง่ายได้
อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ จึงตัดสินใจส่ง ลาร์ส ริคเคน ลงมาตอนนาทีที่ 70 ซึ่งเจ้าตัวใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีที่สัมผัสผืนสนามส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย ตัดกระแสบวกทุกอย่างของ ทัพม้าลายจนพังพินาศ ก่อนจบเกมด้วยชัยชนะไปแบบสวย ๆ
4. แพทริก ไคลเวิร์ต : นัดชิงฯ ปี 1995
ปี 1995 เป็นครั้งสุดท้ายที่ยักษ์ตัวเบิ้มจาก เอเรดิวิซี ลีก ฮอลแลนด์ ได้สัมผัสถ้วยบิ๊กเอียร์ใบนี้ ซึ่งขณะนั้นพวกเขามีแต่แข้งวัยรุ่นห้าวเป้งอยู่เต็มทีม ส่วนกุนซือผู้บัญชาเกมเป็น หลุยส์ ฟาน กัล เป็นกุนซือ
ส่วนคู่แข่งได้แก่ เอซี มิลาน ในยุคที่ยิ่งใหญ่สุด ๆ ภายใต้การนำของ ฟาบิโอ คาเปลโล โดยรูปเกมวันนั้นกลับเป็นไปอย่างสูสี เพราะเสมอกันจนเกือบจะจบเกมอยู่แล้ว
แต่กุนซือจอมปรัชญา ตัดสินใจส่ง ไคล์เวิร์ต ที่ตอนนั้นอายุแค่ 18 ปี ลงสนามไปในนาทีที่ 70 และแล้วพอถึงนาทีที่ 85 ความฝันของดาวรุ่งคนนี้ก็เป็นจริง เพราะเขาซัดประตูชัยให้ทีมขึ้นเถลิงบัลลังก์แชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด
3. เฮนริค ลาร์สสัน : นัดชิงฯ ปี 2006
อย่างที่รู้กันดีว่า ลาร์สสัน นั้นเป็นถึงกองหน้าระดับตำนานของ กลาสโกว เซลติก มาก่อน แต่เขาเลือกย้ายมาอยู่กับ บาร์เซโลนา ตอนปี 2004 และฤดูกาลสุดท้าย (2006) ก่อนตัดสินใจย้ายออกจากถิ่นคัมป์นู เจ้าตัวก็กลายเป็นฮีโร่ให้กับสโมสรได้สำเร็จ
แมตช์ดังกล่าว บาร์ซา ได้เข้าชิงกับ อาร์เซนอล ซึ่ง เยนส์ เลห์มันน์ นายทวารปืนใหญ่ โดนไล่ออกไปตอนนาทีที่ 18 แต่ถึงกระนั้นกลับออกนำได้ก่อนจากการยิงของ โซล แคมป์เบลล์ ในนาทีที่ 37
ลูกทีมของ อาร์เซน เวนเกอร์ ประคองเกมเอาไว้ได้อย่างอดทน และจวนเจียนจะคว้าแชมป์ไปครองได้อยู่แล้ว แต่ เฮนริค ลาร์สสัน ที่ถูกส่งลงมาแทน มาร์ก ฟาน บอมเมล ในนาทีที่ 61 กลับระเบิดฟอร์มเทพ ทำ 2 แอสซิสต์ ให้ เอโต้ กับ เบลเล็ตติ ยิงกันคนละเม็ด ในนาทีที่ 76 และ 80 พลิกแซงคว้าแชมป์ไปได้เฉย
2. เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม & โอเล กุนนาร์ โซลชา : นัดชิงฯ ปี 1999
เกมนัดชิงฯ ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ปี 1999 ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โค่น บาเยิร์น มิวนิค จนเป็นแชมป์นั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอดตำนานที่ต้องถูกจารึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
เพราะแมตช์ดังกล่าว ทีมเสือใต้ขึ้นนำก่อนจากการปั่นฟรีคิกสุดสวยของ มาริโอ บาสเลอร์ ตั้งแต่นาทีที่ 6 และเกมก็ทำท่าจะจบลงด้วยสกอร์นี้อยู่แล้ว
แต่ 2 ตัวสำรองที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ลงมาในช่วงท้ายเกมอย่าง เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม และ โอเล กุนนาร์ โซลชา กลับผลัดกันยิง ผลัดกันจ่ายในนาทีที่ 90+1 และ 90+3 พลิกนรกกลับมาเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปได้แบบไม่มีใครอยากเชื่อ
1. แกเร็ธ เบล : นัดชิงฯ ปี 2018
สำหรับปีกพญาวานรที่เราเกริ่นไว้ตรงคำนำ ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่โลกจะต้องจดจำ เพราะนอกจากจะเป็น ซูเปอร์ซับ ให้กับ เรอัล มาดริด แล้ว การทำประตูของเขายังสวยสดงดงามซะจนไม่รู้จะมีใครทำได้แบบนี้ในนัดชิงฯ อีกหรือไม่
โดยขณะที่ มาดริด เสมอ กับ ลิเวอร์พูล อยู่ 1-1 ซีดาน ส่ง เบล ลงมาแทน อิสโก้ ที่เล่นไม่ค่อยออกตอนนาทีที่ 61 และหลังจากนั้น 3 นาที เขาก็กระโดดยิงลูกโอเวอร์เฮดด้วยเท้าซ้ายข้างถนัด ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายแบบช็อคคนทั้งโลก
และพอถึงนาทีที่ 83 ผู้เล่น ลิเวอร์พูล เปิดช่องให้ เบล ได้ลองส่องไกลซึ่งได้ผลเต็ม ๆ เพราะ คาริอุส ปัดกระฉอกเข้าประตู จนทำให้ มาดริด คว้าแชมป์ 3 สมัยติด โดยมีเจ้าเห้งเจียเป็นฮีโร่อย่างแท้จริง
https://youtu.be/3GR2jgbkjAY?t=8
เป็นยังไงกันบ้าง กับสุดยอด 6 ซูเปอร์ซับ ในรอบชิงชนะเลิศถ้วย UCL แต่ละคน แต่ละเกมต้องบอกเลยว่าสุดยอดมากจริง ๆ ส่วนปีนี้ก็น่าดูมาก ๆ เลยทีเดียว เพราะ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ได้เข้ารอบชิงอีกครั้ง
จะได้บวกกับ ไก่เดือยทอง สเปอร์ส ที่ได้เข้ารอบชิงฯ เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา ต้องเป็นคู่ที่สนุกสุดมันส์อย่างแน่นอน
แล้วเพื่อน ๆ คิดว่ารูปเกม สกอร์ ในคืนวันเสาร์ที่ 1 มิ.ย จะออกมาแบบไหนกัน ??? ถ้ามีสกอร์ไว้ใจในอยู่แล้ว ก็อย่าลืมไปร่วมเล่นกิจกรรมลุ้นเงินแสนกันด้วยน้า