สำหรับโลกเราในทุกวันนี้ “ฟุตบอล” เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีคนชื่นชอบคลั่งไคล้ไปทั่วทุกหัวระแหง โดยบนฟลอร์หญ้าที่มีเหล่านักรบทั้ง 22 คนลงทำศึกกันนั้น ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู อาจจะดูโดดเด่นน้อยที่สุด เพราะเคลื่อนที่ไปไหนไกลจากปากประตูหรือกรอบเขตโทษไม่ได้มาก
แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนต่างรู้อยู่ลึก ๆ ในใจว่า “นี่คือหนึ่งตำแหน่งที่สำคัญสุด ๆ สำหรับการตัดสินแพ้ชนะในแต่ละเกมเลยทีเดียว”
วันนี้เราเลยอยากจะหยิบยกเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ “ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้” มาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครจะจำจะจำเอาไปโม้กับเพื่อนฝูง เผลอ ๆ อาจจะดูหล่อขึ้นมาทันทีเลยก็ได้ !
1. นายทวารหลายคนพยายามลวงตาฝ่ายตรงข้ามด้วยสีสันของชุดแข่ง
เคยมีใครตั้งคำถามขึ้นมาอย่างจริง ๆ จัง ๆ บ้างไหมว่า ทำไมชุดแข่งของผู้รักษาประตูต้องมีสีสันแตกต่างจากผู้เล่นอื่นที่อยู่ในสนาม ?
มีเซียนหลายคนวิเคราะห์ออกมาในแนวทางที่เป็นวิทยาศาสตร์สุด ๆ เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า
“การที่ชุดแข่งของเหล่านายทวารนั้นมีสีสันแปลกตาจากคนอื่น ๆ ก็เพราะมันเป็นจุดที่ทำให้เกิดความดึงดูดต่อนักเตะฝ่ายตรงข้าม หรือเรียกง่าย ๆ ว่าทำให้คนที่กำลังจะง้างเท้ายิงนั้นเกิดสนใจขึ้นมาในชั่วพริบตาก่อนสับไกนั่นเอง”
แล้วมันส่งผลยังไง ?
“ณ จุด ๆ นี้หากคนที่กำลังจะยิงเกิดไปสมาธิหลุดขึ้นมาเพียงแค่เสี้ยววินาที พวกเขาจะยิงบอลเข้าไปในจุดที่ตัวเองให้ความสนใจอยู่แบบไม่รู้ตัว ซึ่งเราจะเห็นได้บ่อยครั้งว่ากองหน้าคนไหนที่ไม่ค่อยนิ่งมักจะยิงไปให้นายทวารเซฟได้อยู่บ่อย ๆ นั่นเอง”
ซึ่ง ปีเตอร์ ชิลตัน อดีตนายทวารระดับตำนานของทีมชาติอังกฤษ เคยพูดออกมาเองว่าที่ตนมักจะใส่เสื้อสีแดงสดก็ด้วยเหตุผลที่ว่านี้
และล่าสุดในฤดูกาล 2017-18 นี้เอง ชุดแข่งของผู้รักษาประตูทีม วีคอมบ์ วันเดอร์สเรอร์ จากลีกทูของ อังกฤษ ก็ถูกออกแบบมาให้มีลวดลายเป็นกราฟฟิคสไตล์ไซคีเดลิค โดยดีไซน์เนอร์ เชื่อว่ามันจะส่งผลลวงตากองหน้าฝ่ายตรงข้ามจนไม่สามารถยิงบอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 100% นั่นเอง
2. ฮอร์เก้ คัมโปส เคยเป็นตัวจริงในตำแหน่งผู้รักษาประตู และ กองหน้า มาแล้ว
ในข้อก่อนหน้าเราได้พูดถึงสีสันของชุดแข่งนายทวารกันไป เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนน่าจะนึกถึง มือกาวสุดห้าวเป้งชาวเม็กซิกัน อย่าง ฮอร์เก้ คัมโปส ขึ้นมาทันทีแน่นอน เพราะนอกจากลีลาสุดยียวนของเขาในแต่ละเกม ชุดแข่งก็มีทั้งสีและดีไซน์ เหลือร้ายจนคุณแม่ต้องขอร้องงงงงง เลยทีเดียว
ท่าไม้ตายของ คัมโปส ที่คนทั้งโลกต้องจดจำก็คือการพาบอลเลี้ยงตะลุยขึ้นหน้าจากในกรอบเขตโทษของตัวเองมาสู่กรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้าม ก่อนยิงเองหรือสร้างสรรค์จังหวะแสบ ๆ ให้เพื่อนเข้าทำ
และด้วยความที่เจ้าตัวมีนิสัยมุทะลุชอบลุย ชอบมีส่วนร่วมในการทำประตู จึงมีหลาย ๆ นัดที่ผู้จัดการทีมเลือกใช้งานเขาให้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในฐานะผู้เล่นตำแหน่งสไตรเกอร์มันซะเลย
นอกจากจะสาแก่ใจให้กับตัวเองที่ได้เล่นเป็นกองหน้าแล้ว เขายังตอบแทนความกล้าหาญของเหล่ากุนซือด้วยการซัลโวประตูได้บ่อยๆ อีกด้วย เอากับพี่เค้าสิ !!
3. ทำไมผู้รักษาประตูชอบถุยน้ำลายลงบนถึงมือตัวเอง
ถามมาแบบนี้ ก็ต้องขอตอบก่อนเลยว่า เพราะถุยใส่มือนายด่านฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ยังไงล่ะ ! เห้ย !! ไม่ใช่แล้ว !!!
เรื่องนี้อาจจะมีหลายคนสังเกตเห็น และก็ตั้งคำถามขึ้นมาในใจกันอยู่แล้ว บ้างก็ได้รับคำตอบ บ้างก็ปล่อยให้เวลามันผ่านไป เดี๋ยวก็ลืมไปเอง
แต่จากข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า การถุยน้ำลายลงไปบนถึงมือแล้วถูจนแห้งนั้นจะช่วยเพิ่มความเหนียวขึ้นมาได้จริง ซึ่งจากจุดดังกล่าว จะทำให้พวกเขารับบอลได้หนึบมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อนั่นเอง
4. ปีเตอร์ ชไมเคิล ใช้เทคนิคของกีฬาแฮนด์บอลในการเป็นผู้รักษาประตู
“ปีเตอร์ ชไมเคิล” อดีตนายทวารผู้ยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะมาเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพหลักนั้น เขาเคยเป็นนักกีฬาแฮนด์บอลอาชีพมาก่อน
และทันทีที่ผันตัวเองมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพเต็มตัว ทักษะที่เคยใช้กับกีฬาแฮนด์บอล ก็ยังคงติดตัวอยู่ เขาจึงหยิบเอาจุดที่น่าจะเป็นประโยชน์มาใช้ในการลงเล่นแต่ละแมตช์
หากใครยังจำกันได้ดีถึงลีลาการเซฟประตูของ ชไมเคิลคนพ่อนั้น เขามักจะกางแขนกางขาออกมาได้อย่างรวดเร็ว เวลาถูกล่อเป้าจากกองหน้าฝ่ายตรงข้าม ซึ่งทางสื่อต่างประเทศตั้งชื่อเทคนิคนี้ของเจ้ายักษ์เดนส์ว่า “ปลาดาว”
นอกจากนี้เขายังโดดเด่นในเรื่องของการขว้างบอลไกลจากในกรอบเขตโทษตัวเอง ไปสู่พื้นที่สุดท้าย ซึ่งบอกเลยว่ามีความอันตรายสูงมากสำหรับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามที่ต้องรอรับมือ
5. ค่าตัวของ บุฟฟอน ตอนปี 2001
อย่างที่ใครหลาย ๆ คนรู้กันดีอยู่แล้วว่า จิอันลุยจิ บุฟฟอน ผู้รักษาประตูระดับตำนานชาวอิตาลีนั้น เคยเป็นเด็กปั้นจากทีมเยาวชน ปาร์มา มาก่อน จากนั้นจึงย้ายไปเฝ้าเสาให้ ยูเวนตุส เมื่อปี 2001 ในขณะที่เจ้าตัวมีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น
แต่ที่น่าทึ่งสุด ๆ เกี่ยวกับดีลนี้ก็คือ มาร์เซโล ลิปปี้ กุนซือในขณะนั้น ยอมทุ่มเงินสูงถึง 38 ล้านยูโร เพื่อดึงตัวเขามาอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นตัวเลขที่ทำให้ บุฟฟอน ครองสถิตินายทวารที่มีค่าตัวสูงสุดของโลกไปโดยปริยาย
คอลูกหนังรุ่นใหม่ ๆ เห็นแบบนี้แล้วอาจจะรู้สึกเฉย ๆ เพราะด้วยฝีไม้ลายมือระดับบุฟฟอนแล้ว ค่าตัวแค่ 38 ล้านยูโร นั้นถือว่าไม่ได้แพงอะไรเลย แต่นักวิเคราะห์การเงินหลายสำนักลองบวกลบคูณหารแล้วจึงพบว่า หากเม็ดเงินก้อนนี้มาอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน (ปี 2018) จะมีมูลค่าสูงถึง 53 ล้านยูโร ซึ่งสำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตูเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นอะไรที่เวอร์วังมากเกินไป
แต่ถามว่ามาถึงตอนนี้แล้ว คุ้มไหม ? แน่นอนว่าต้องคุ้มสุด ๆ ไปเลยทีเดียวเชียว !!