นับตั้งแต่ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษเปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชั่น 1 มาเป็น พรีเมียร์ลีก จนถึงวันนี้เวลาก็ผ่านล่วงเลยมานานถึง 25 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นและตราตึงอยู่ในความทรงจำของคอบอลทั้งโลก
ไม่ว่าจะเป็นทีมที่เคยประสบความสำเร็จ ทีมที่เคยล้มเหลว ทีมที่เคยตกชั้นลงไป และทีมที่เคยเลื่อนชั้นขึ้นมา นักเตะที่ย้ายเข้า คนที่ย้ายออก รวมถึงสถิติต่าง ๆ มากมายที่เคยถูกสร้างขึ้นมาและทำลายลงไปอีกเยอะมากจนไม่สามารถจะนับนิ้วให้ได้ครบทั้งหมด
และหากพูดถึงสถิติแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีอันที่ถูกจารึกไว้ชัดเจน และได้รับการพูดถึงบ่อย ๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีบางสถิติที่ ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจและไม่มีใครอยากจะบันทึกหรือจดจำเอาไว้
ซึ่งวันนี้เราก็ได้หยิบสถิติที่คนไม่ค่อยได้เห็นกันสักเท่าไหร่ใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาเล่าให้ฟังกัน ถ้าพร้อมแล้วเลื่อนลงไปชมกันเลย
1. ทำแฮตทริกจากลูกฟรีคิก
เมื่อเรานึกถึงนักเตะที่เป็นเซียนการปั่นฟรีคิกในพรีเมียร์ลีก นั้นแน่นอนว่าชื่อของ เดวิด เบ็คแฮม จะต้องลอยเข้ามาในหัวก่อนเป็นคนแรก เพราะการปั่นลูกนิ่งคือจุดขายของชายรูปหล่อคนนี้มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นยันแขวนสตั๊ด
และหากจะเรียกได้ว่า เบ็คแฮม นั้นเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ โดดเด่นในเรื่องของการยิงฟรีคิกมากที่สุดก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะเมื่อลองชายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาใครสักคนที่ทำได้ดีแบบนั้นบอกตามตรงว่ายากจะนึกให้ออก เพราะคนที่ปั่นฟรีคิกเข้าก็มีมากมาย แต่ตีนฉมังแบบฝากฝังได้แทบทุกครั้งนั้นยังไม่ค่อยมี
อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์ตลอด 25 ปีของ พรีเมียร์ลีก ก็ยังมีคนที่สามารถทำแฮตทริกได้จากการปั่นฟรีคิกมาแล้ว 2 คน และไม่ใช่ เดวิด เบ็คแฮม แต่กลับเป็น แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ซึ่งทำไว้ในปี 1995 และ เวย์น รูนีย์ ในปี 2011 นั่นเอง
2. แมตช์ที่ไม่มีการเตะมุม
สำหรับเกมลูกหนังนั้นต้องบอกเลยว่า ลูกทุ่ม ลูกเตะมุม ลูกตั้งเตะจากเส้นประตู ลูกฟรีคิก ฯลฯ นั้นเป็นอะไรที่ยังไงก็ต้องเกิดขึ้นกันเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะไม่มีทางเลยที่บอลจะไม่ถูกทำออกไปนอกสนาม ไม่ว่าจะจากฝ่ายไหนก็ตาม
ถามกันสักคำ… คุณคิดภาพเกมลูกหนังที่ตลอดทั้ง 90 นาที ไม่มีลูกเตะมุมเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียวออกหรือไม่ ?
แน่นอนว่าตอบยาก เพราะอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของเกมลูกหนังที่ยังไงก็ต้องมี แต่ย้อนกลับไปในปี 2010 เกมที่ เชลซี บุกไปถล่มคู่แข่งอย่าง วีแกน ได้ถึงสนามเหย้าด้วยสกอร์ 6-0 นั้น เป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ 25 ปีของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ไม่มีการเตะมุมกันเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่นาทีแรกยันเสียงนกหวีดยาวจบเกมดังขั้น
ทีแรกก็ดูเหมือนไม่พิเศษอะไร แต่พอรู้ว่ามีแค่เกมเดียวที่เคยมีสถิตินี้เกิดขึ้น ก็แว๊บขึ้นมาทันทีเลยว่า เออ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาจริง ๆ ด้วย !
3. ผู้รักษาประตูที่มีส่วนร่วมกับเกมบุกมากที่สุด
ตามปกติแล้วตำแหน่ง ผู้รักษาประตูนั้น คือคนที่มีหน้าที่หลักในการป้องกันไม่ให้ทีมเสียประตู และด้วยความที่พื้นที่การเล่นของพวกเขานั้น หลัก ๆ ก็คือในกรอบเขตโทษซึ่งนาน ๆ ทีถึงจะเห็นออกมาอยู่ข้างนอกบ้าง
ฉะนั้นแล้วนายทวารส่วนใหญ่จึงจะไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกมรุกของทีมมากเท่าไหร่นัก แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีโกล์จอมลุยคอยสร้างสีสันประดับวงการอยู่บ้าง โดยเฉพาะ พอล โรบินสัน อดีตมือกาวของ ลีดส์, สเปอร์ส, แบล็คเบิร์น นั้นคือคนทีมีสถิติการช่วยเกมบุกเยอะสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
โดยตลอดการเล่นบนพรีเมียร์ลีกนั้น โรบินสัน ยิงได้ 2 ประตู 5 แอสซิสต์ แถมยังเคยเรียกจุดโทษให้กับทีมได้ในกรอบเขตโทษของฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย เอาซิ !!
4. เกมที่ไม่การเปลี่ยนตัว
เช่นเดียวกันกับข้อ 2 ที่ไม่มีการเตะมุม เพราะสำหรับการเปลี่ยนตัวนั้น แม้มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติของการแข่งขันฟุตบอลอยู่แล้ว เพราะไม่ว่ายังไงโค้ชก็ต้องใช้สิทธิ์ตรงนี้ให้คุ้มค่าที่สุดในช่วง 90 นาทีของการแข่ง
และพอให้นึกถึงเกมไหนที่ไม่ใครถูกเปลี่ยนตัวออกเลยแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งจบแมตช์ แค่นี้มันก็เหมือนจะไม่มีอะไรแปลกสักเท่าไหร่ เพราะก็เป็นไปได้ง่าย ๆ อยู่แค่ ก็แค่ไม่เปลี่ยนเท่านั้นเอง
แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แมตช์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะ ฟูแลม 3-0 ไปเมื่อฤดูกาล 2002-03 เป็นเพียง “นัดเดียว” ในประวัติศาสตร์ 25 ปีของ พรีเมียร์ลีกที่ไม่มีการเปลี่ยนตัวเกิดขึ้นตลอด 90 นาที
5. สามแข้งพรีเมียร์ลีกที่ถูกไล่ออกก่อนได้สัมผัสบอล
โดยปกติแล้ว การที่จะมีนักเตะสักคนโดนใบแดงไล่ออกจากสนามไปนั้น ถือเป็นเรื่องไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เพราะพวกเขาจะต้องเซฟตัวเองกันอยู่แล้ว เพราะมันเป็นอะไรที่ส่งผลต่อรูปเกมมากอย่างชัดเจนที่สุด
ฉะนั้นแน่นอนว่าคงแทบไม่มีนักเตะคนไหนที่จะถูกไล่ออกก่อนได้สัมผัสบอลเป็นแน่ แต่สำหรับ 3 คนที่เรากำลังจะเอ่ยชื่อถึงอย่าง อันเดรส โยฮันส์สัน, คีธ กิลเลสพี และ เดฟ คิทสัน นั้นทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อนั้นได้
ใช่ ! พวกเขาถูกใบแดงไล่ออกไปโดยที่ยังไม่ได้สัมผัสบอลเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งมันเป็นอะไรที่โอเวอร์มาก เพราะขนาด สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่โดนใบแดงหลังลงสนามมาเพียง 38 วินาที ยังแตะบอลได้ถึงสองจังหวะเลย