5 เหตุให้ “อุรุกวัย” ลุ้นคว้าชัย “บอลโลก 2018”!
ก่อนอื่นต้องเปิดหัวกันแบบนี้เลยว่า ณ วันที่ ศึกฟุตบอลโลก 2018 ยังไม่ได้เปิดม่านการแข่งขันขึ้นอย่างเป็นทางการ หากมีคนพูดขึ้นมาว่า “อุรุกวัย” จะได้เป็นแชมป์ ! แน่นอนว่าคงไม่มีใครทำใจเชื่อได้ลงคออยู่แล้ว
จริงอยู่ที่คอบอลต่างรู้ดีว่า ทีมจอมโหด มักจะทำผลงานได้ดีในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ๆ เสมอ แถมยังมีนักเตะระดับท็อปอยู่ในทีมหลายคนอีกด้วย แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหน พวกเขาก็ไม่ใช่ทีมที่จะก้าวขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของโลกได้เลยแม้สักนิด
อย่างไรก็ตาม ศึกนี้ดำเนินผ่านมาแล้วราว 3 สัปดาห์ ทัพนักเตะทีมชาติอุรุกวัย กลับแสดงให้คนทั้งโลกได้เห็นแล้วว่าพวกเขามาปีนี้ด้วยความพร้อมและความแข็งแกร่งมากแค่ไหน จนสามารถทะลุสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปได้เรียบร้อยแล้วด้วย
ที่สำคัญกว่านั้น เส้นทางของพวกเขาในรายการนี้ เรียกว่าออกตัวสวยตั้งแต่นัดแรกยันนัดล่าสุดที่เขี่ยโปรตุเกสของ คริสเตียโน โรนัลโด้ กระเด็นตกรอบไปแบบสุดมันส์
เอาล่ะ ! เมื่อทีมจอมโหดมากันได้ถึงขนาดนี้แล้ว กองเชียร์ระดับเดนตายทั้งหลายรวมถึงคนในชาติ คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากเชื่อว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์โลกมาครองได้อีกครั้งหลังห่างหายไปนานมากซะจนจำไม่ได้ว่ากี่ปี !! และนี่ก็คือ 5 เหตุผลที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า อุรุกวัย ลุ้นคว้าชัย “บอลโลก 2018” ได้แน่นอน !!!
1. มีซัวเรซ
ตามปกติแล้ว บทความทั่ว ๆ ไปมักจะอั้นเหล่าแข้งทีเด็ดระดับซูเปอร์สตาร์เอาไว้พูดถึงกันตอนท้าย ๆ แต่วันนี้เรามาแบบมั่นใจเต็มที่ ฉะนั้นจึงขอเจิมด้วยทีเด็ดของ อุรุกวัย ชุดลุยศึกบอลโลกปีนี้กันก่อนเลยเพื่อเป็นการข่มขวัญ
อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า “เจ้าหม่อมกัด” นั้นเป็นกองหน้าที่มีความสามารถสูงอยู่ในระดับโลกมายาวนานหลายปี และถึงแม้อายุอานามจะมากขึ้นเป็น 31 ปีแล้ว แต่ลีลาอันแพรวพราวของเขากลับไม่ได้ลดความร้ายกาจลงเลยแม้แต่น้อย
นอกจากประสิทธิภาพสูงลิบลิ่วในการทะลุทะลวง, ยิงประตู และจ่ายให้เพื่อนเข้าทำแล้ว ซัวเรซ ยังมาพร้อมเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ที่จะส่งผลให้เอาชนะคู่แข่งได้ในการชิงไหวชิงพริบจากจังหวะยาก ๆ เสมอ
และที่โหดสุดคือการประสานงานระหว่างเขากับ เอดินสัน คาวานี คู่หูคนสำคัญ ถือว่าเป็นอาวุธร้ายที่จะสามารถทำลายแนวรับคู่แข่งได้ทุกทีมบนเวทีฟุตบอลโลก 2018 จนราบคาบได้อีกด้วย
2. มีทรงบอลเย็น
ทีมชาติอุรุกวัยชุดนี้ มีกุนซือที่อยู่กับทีมมายาวนานตั้งแต่ปี 2006 อย่าง ออสการ์ ตาบาเรซ คอยนำทัพ ซึ่งนั่นแปลว่าเขาเองก็มีอิทธิพลสูงมากสำหรับวงการลูกหนังประเทศจอมโหด
โอเค หลายคนอาจจะตั้งข้อกังขาว่า อยู่ทำทีมมานาน 12-13 ปีแล้ว แต่กลับคว้าแชมป์มาครองได้แค่รายการเดียวคือ โคปา อเมริกา ปี 2011 อย่างนี้จะเก่งจริงหรือ ?
อันนี้ก็ต้องตอบว่า เมื่อก่อนนั้นอาจจะยังมีอุปสรรคหรือปัญหาอะไรติดขัดอยู่ในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องของขุมกำลังคือ จะหาตัวท็อป ๆ ของโลกมาใช้งานนั้นเป็นเรื่องยากสุด ๆ ต่างกับยุคสมัยนี้แบบสิ้นเชิง
และด้วยความที่ ตาบาเรซ ผ่านเวทีการแข่งขันมาเยอะ ตัวของเขาเองก็เติบโตมากขึ้นจนสามารถตกผลึกองค์ความรู้สำหรับการเข้าชิงชัยในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ๆ ได้อย่างชัดเจนที่สุดแล้ว เพราะเราจะเห็นว่า แท็คติก ที่ อุรุกวัย ชุดนี้ใช้ คือการรักษารูปแบบการเล่นหลักของทีมตัวเองไว้ไม่ให้เสียกระบวน แล้วรออย่างใจเย็นที่สุดเพื่อหาโอกาสสวนกลับขึ้นไปทำประตูยามคู่แข่งพลาด
ซึ่งจาก 4 เกมที่ผ่านมา มันเป็นสูตรที่ได้ผลจนทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่มีฟอร์มโดดเด่นสุดจากสายตาคอบอลทั้งโลกไปในทันที
3. อยู่เป็นทุกตำแหน่ง
อย่างที่บอกไว้ในข้อก่อนหน้าว่ากลุ่มนักเตะของทีมชาติอุรุกวัยในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้มีความพร้อมมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งนี่แหละคืออีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนว่าพวกเขาพร้อมแล้วจะก้าวขึ้นไปสู่บัลลังก์แชมป์ให้ได้อีกครั้งหนึ่ง
ไล่มาตั้งแต่ผู้รักษาประตูและแนวรับนั้นบรรดาตัวจริงล้วนแต่ไม่ธรรมดาไล่มาตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันแผงกองหลัง โดยมี ดิเอโก้ โกดิน กับ โฆเซ จิเมเนซ สองตัวท็อปจาก แอตเลติโก มาดริด คอยปกป้องอยู่ ซึ่งพวกเขาแข็งแกร่งสุด ๆ จนถึงขนาดที่ว่า 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่มนั้นไม่ถูกเจาะตาข่ายเลยแม้สักลูกเดียว
ขยับขึ้นมาที่มิดฟิลด์กันบ้าง ตัวเด่นสุด ๆ คือ ลูคัส ตอร์เรย์รา คนนี้กำลังเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาไม่นาน เป็นตัวรับผู้มีพรสวรรค์สูง เรียกได้ว่าคนเดียวก็สามารถทำลายล้างเกมแดนกลางฝ่ายตรงข้ามจนพังพินาศได้ในชั่วพริบตา ซึ่งนี่เองทำให้พวกแนวรุกทั้งหลายบุกได้อย่างอิสระสุด ๆ
ส่วนความโหดจริง ๆ ก็ต้องยกให้เป็นการประสานงานของสองกองหน้าเวิร์ลคลาสอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ กับ เอดินสัน คาวานี ที่เซนส์บอลทันกันสุด ๆ ช่วยกันยิงช่วยกันจ่ายได้แบบเข้าขารู้ใจสมกับที่เล่นร่วมกันมานาน
นอกจากนี้ ผู้เล่นที่จะคอยสนับสนุนหมุนเวียนทดแทนกันลงสนาม ต่างก็ดูพร้อมทุกตำแหน่งจนแทบจะไม่มีรูโหว่เป็นจุดอ่อนให้เห็นเลยทีเดียว
4. ฟอร์มแจ่มรอบ 16
เอาล่ะ ในเมื่อทีมชาติโปรตุเกส ทะลุผ่านเข้ามาไกลขนาดนี้แล้วเราคงไม่ขอย้อนกลับไปพูดถึงการแข่งขันที่เจอมาในศึกรอบแบ่งกลุ่มอีก เพราะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากมายนัก
แต่อยากจะบอกว่า เส้นทางที่พวกเขาจะต้องเดินผ่านในรายการนี้นับตั้งแต่รอบน็อคเอาท์เป็นต้นไป เรียกว่ามันคือการจับคู่แบบโคตรโหดที่ทำให้ต้องลงแข่งกับทีมระดับท็อป ระดับเต็งแชมป์แบบไม่ให้มีเวลาหยุดพักหายใจหายคอกันเลยทีเดียว
เริ่มตั้งแต่การเจอ โปรตุเกส รอบ 16 ทีมสุดท้าย ทัพนักเตะฝอยทองมาลุยศึกนี้ด้วยดีกรีแชมป์ยูโร 2016 ที่บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ใช่ธรรมดา แถมยังมีซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของโลกอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด เป็นตัวชูโรงอีก แต่สุดท้ายก็สามารถผ่านมาได้แบบสวย ๆ
ส่วนเกมถัดไป อุรุกวัย ต้องรับมือกับศึกหนักอย่าง ฝรั่งเศส ที่ถึงแม้จะเป็นกลุ่มนักเตะอายุน้อย ๆ ชั่วโมงบินไม่สูงมาก แต่พรสวรรค์ของพวกเขาแต่ละคนนั้นสูงลิบลิ่วจนเฉียดเข้าใกล้เส้น “ระดับโลก” กันแทบทุกตำแหน่งเลย
และหากสมมติยังสามารถผ่านไปจนถึงรอบรองชนะเลิศได้อีก คราวนี้จะต้องเจอกับกระดูกชิ้นโตที่สุดของรายการอย่าง บราซิล รออยู่อีก….
แต่เดี๋ยวก่อน !! ถ้าทีมแซมบ้าเกิดโชคร้ายพ่ายต่อคู่แข่งในรอบ 8 ทีมล่ะ ? แน่นอน เบลเยียม ก็จะเป็นฝ่ายที่ได้เจอกับ อุรุกวัย แทน ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรเท่าไหร่นัก เพราะนี่ก็มีแข้งระดับโลกอัดแน่นอยู่มากกว่าครึ่งทีมเช่นกัน
ฉะนั้นถ้าหาก อุรุกวัย ของกุนซือ ตาบาเรซ สามารถผ่านคู่ต่อสู้ตามสายของตัวเองไปถึงนัดชิงชนะเลิศได้ทั้งหมดแล้วล่ะก็ บอกเลยว่า ยกแชมป์ให้พวกเขาเถอะ เพราะเจอด่านโหดโคตร ๆ มามากมายขนาดที่อีกสายหนึ่งเทียบไม่ติดแบบนี้แล้ว จู่ ๆ จะให้ไปแพ้ในเกมสุดท้ายมันก็กระไรอยู่
ฟันธง ! อุรุกวัยของเรา เป็นแชมป์โลก 2018 นี้แน่นอน !!!
5. เคยยกถ้วยแชมป์ (มาแล้ว 2 ครั้ง)
เรามักจะได้ยินคนพูดกันอยู่เสมอว่า ทีมที่จะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ในศึกรายการใหญ่ ๆ ได้นั้นต้องมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “บารมี” แผ่ออกมาจนสัมผัสได้
จริงอยู่ที่ อุรุกวัย นั้นห่างหายจากการเป็นแชมป์ไปนานมากจนหลายคนไม่อาจสัมผัสได้ถึงบารมีที่ว่า หากไม่โฟกัสไปที่พวกเขาจริง ๆ
แต่หลังจากที่ระเบิดฟอร์มเทพผ่านมาแล้ว 4 เกมจนทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลายคนเริ่มจับออร่าความน่าเกรงขามของทีมจอมโหดนี้ขึ้นมาได้แล้วว่ามันมีอะไรที่แตกต่างและไม่ใช่ธรรมดาอยู่
ไม่ต้องสงสัยเลย เพราะนั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า “บารมีแชมป์” เนื่องจาก อุรุกวัย คือแชมป์ฟุตบอลโลกทีมแรกในประวัติศาสตร์การแข่งขันรายการนี้ที่จุดจัดขึ้นเมื่อปี 1930 นอกจากนี้ยังได้สมัยสองมาตอนปี 1950 อีกต่างหาก
พอเห็นแบบนี้แล้วพูดได้คำเดียวว่า “ราชาตัวจริง กำลังจะมาทวงคืนบัลลังก์แล้ว !!”