5 ปัจจัยที่ทำให้ รัสเซีย เป็นแชมป์บอลโลก 2018
“อย่ามาเวอร์ !”
ทันทีที่พูดกับเพื่อนฝูงว่า “รัสเซีย เอาจริง ๆ นี่มีโอกาสเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ได้กับเขาเหมือนกันนะเนี่ย” ก็ได้รับคำตอบสั้น ๆ ห้วน ๆ แบบแอบตะคอกเล็ก ๆ กลับมาอย่างนั้นแหละ
เอาจริง ๆ ก็เข้าใจอยู่ว่าคนส่วนใหญ่ทำไมถึงไม่มีใครคิดเลยว่า ทัพนักเตะจากดินแดนหมีขาว จะก้าวขึ้นไปถึงจุด ๆ นั้นได้จริง เพราะเอาแค่ ณ ปัจจุบันเพียงอย่างเดียว พวกเขาก็ถือว่ามีศักยภาพทีมโดยรวมด้อยกว่าคู่แข่งอื่นชัดเจน เผลอ ๆ อาจจะอ่อนสุดในกลุ่มทีมที่ยังเหลือรอดอยู่เลยด้วยซ้ำ
แต่อย่าลืม ! ตอนนี้พวกเขาสามารถทะลุเข้ามาได้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้วนะ ซึ่งนี่คือจุดที่ใครหลายคนไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เห็นมาก่อน
ในเมื่อมาไกลขนาดนี้แล้ว ทีนี้มาดูกันว่าอะไรคือ 5 เหตุผลที่จะทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปเขย่าบัลลังก์แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 นี้ได้แบบไม่มีใครคาดคิด
1. สเปน ก็เอาไม่อยู่
อย่างที่ได้บอกเอาไว้ในย่อหน้าบน ๆ ว่า ตอนนี้ รัสเซีย ทะลุเข้ามาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้ว และตกอยู่ในฐานะทีม “ม้านอกสายตา” มากสุดร่วมกันกับ สวีเดน ที่อยู่สายเดียวกัน
และสิ่งที่สร้างความประทับให้กับคอลูกหนังทั้งโลกมากที่สุด นอกจากฟอร์มอันยอดเยี่ยมในนัดเปิดสนามที่ถล่ม ซาอุดิอาระเบีย ด้วยสกอร์ 5-0 แล้ว ก็เห็นจะเป็นการเขี่ยตัวเต็งแชมป์อย่าง สเปน ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปด้วยการดวลจุดโทษนี่แหละ
โอเค เรื่องการพลิกล็อคนั้นอาจเกิดขึ้นได้เสมอในกีฬาฟุตบอล แต่อย่าลืมนะว่า ขุมกำลังของทั้งสองทีมนั้นมีคุณภาพแตกต่างกันมากแบบคนละดิวิชั่นเลยไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหน ๆ ก็ตาม
ด้วยความที่ทัพกระทิงดุ มีแต่แข้งระดับโลกอัดแน่นอยู่เต็มทีมทั้งตัวจริงตัวสำรอง ทำให้พวกเขาคือหนึ่งในทีมที่มีโอกาสเป็นแชมป์สูงสุดประจำทัวร์นาเมนต์นี้
ฉะนั้นในเมื่อ รัสเซีย สามารถปราบพวกเขาลงได้ ก็สมควรถูกคาดหวังถึงตำแหน่งผู้ชนะเลิศด้วยเช่นกัน !
2. มีนายประตูระดับโลก
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่ศึกฟุตบอลโลกจะเปิดฉากขึ้น กูรูชื่อดังในทวีปยุโรปหลายเจ้ามองว่า อิกอร์ อคินฟิเยฟ นายทวารจากสโมสร ซีเอสเคเอ มอสโก นั้นไม่เก่งจนสามารถฝากความหวังไว้ได้เหมือนก่อนแล้ว
ด้วยอายุอานามที่มากขึ้นจนปีนี้ปาเข้าไป 32 แล้ว แถมเจ้าตัวก็ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้รักษาประตูระดับโลกได้เหมือนอย่างที่ถูกคาดหวังไว้เมื่อตอนเป็นดาวรุ่ง พอเริ่มถึงวัยโรยรา จึงทำให้ถูกมองข้ามไปเป็นแค่ตัวประกอบธรรมดา
แต่เดี๋ยวก่อน ! หลังผ่านการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นี้ไปทั้งหมด 4 เกม อคินฟิเยฟ เค้นฟอร์มระดับท็อปออกมาอุดปากพวกนักวิจารณ์เหล่านั้นจนเงียบกริบหนีกลับลงหลุมไปได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในเกมชนะ สเปน นั้นเจ้าตัวเซฟจุดโทษยาก ๆ ได้ถึง 2 ครั้ง
และก่อนที่เกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ โครเอเชีย จะเปิดฉากขึ้น อคินฟิเยฟ ก็เริ่มถูกยกเอาไปเปรียบเทียบกับตำนานคนบ้านเดียวกันอย่าง “เจ้าหมึกยักษ์ดำ” เลฟ ยาซิน ผู้เคยพาทีมรัสเซียก้าวขึ้นครองความยิ่งใหญ่ได้ทั่วทวีปยุโรปในช่วงยุค 60 เลยทีเดียว
3. พลังแห่งโชคของเจ้าบ้าน
ข้อสามนี้เรียกได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จของกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแล้ว เพราะการได้เป็นเจ้าภาพแล้วลงแข่งในสนามของตัวเอง จะทำให้ทุก ๆ ทีมมีพลังแฝงพิเศษติดมาให้เห็นอยู่เสมอ
ซึ่งนั่นก็อาจจะมาจากเสียงเชียร์อันดังกึกก้องของมวลมหาประชาชนที่เข้ามาดูอยู่บนอัฒจันทร์ และแรงใจจากชาวบ้านตามถนนหนทางทั่วไปที่พร้อมจะให้กำลังใจนักเตะของตัวเองทุกวินาทีที่ได้เจอ
แถมในอดีตเราก็เคยเห็นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งว่า เจ้าภาพส่วนมากมักจะทำผลงานได้ดี และก็มีไม่น้อยที่คว้าแชมป์ได้ในบ้านตัวเอง อาทิ อุรุกวัย, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, อาร์เจนตินา, เยอรมนี รวมไปถึงทีมชาติ กรีซ ในศึกยูโร 2004 โน่นอีกด้วย ที่คนยังจำกันได้ไม่ลืม
วันนี้ รัสเซีย แสดงให้เห็นแล้วว่า พลังแห่งหมีขาว ที่ได้เล่นในสนามของตัวเองแข็งแกร่งมากแค่ไหน จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ความฝันของพวกเขาอาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
4. ไม่สะท้านทุกความกดดัน
นอกจากจะได้รับแรงเชียร์ แรงสนับสนุนอันมหาศาลจากคนในชาติแล้ว พวกเขายังเป็นทีมที่สามารถลงเล่นได้โดยไร้ความกดดันแบบเต็มสูบอีกด้วย
ทั้งนี้เป็นเพราะถึงแม้แฟน ๆ จะเชียร์กันอย่างมีอารมณ์ร่วม แต่ก็ไม่เคยคาดคั้นคาดหวังให้เหล่านักเตะเอาชนะคู่แข่ง หรือเอาถ้วยแชมป์มาครองเลยแม้แต่น้อย แค่สู้กันสุดใจนั่นก็มาเพียงพอแล้ว เพราะเมื่อเทียบขุมกำลัง หรือดูจากประวัติศาสตร์ ก็เทียบกับคู่แข่งระดับตัวเต็งอื่น ๆ ไม่ได้อยู่แล้ว
และด้วยความที่ไม่มีอะไรจะต้องเสีย แค่ใส่เต็ม ใส่หมด ต่อหน้าแฟนบอลทั้งชาติในฐานะที่เป็นเจ้าภาพให้ได้ทุกเกมก็พอ ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่มีความอันตรายมากที่สุดในรายการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
5. ความฝันรัสเซียแชมป์จะเป็นจริง
หากใครติดตามดูฟุตบอลมานานแล้ว เชื่อว่าน่าจะเคยได้ยินคำพูด “บอลนัดเดียว อะไรก็เกิดขึ้นได้” กันบ่อยครั้งในแต่ละปี
แล้วถามว่า มันจริงไหม ? คำตอบคือ จริงแท้แน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เกิดเหตุการณ์ล้มยักษ์ให้เห็นมาแล้วมากมาย และส่วนมากมักเป็นเกมบอลถ้วย ทัวร์นาเมนต์ที่เตะกันนัดเดียวจบแบบนี้แหละ
แถมในศึกฟุตบอลโลก 2018 นับจากวันแรกจนถึงปัจจุบันนี้ ทีมเล็ก ๆ นอกสายตาทั้งหลายต่างระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาให้เห็นได้มากมาย โดยเฉพาะแมตช์ที่เจอกับทีมใหญ่ ๆ จนทำให้กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่น่าจดจำว่า “เป็นหนึ่งในศึกเวิร์ลคัพที่มันส์สุดในประวัติศาสตร์” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉะนั้น หากจะลุ้นทีมม้ามืดให้ไปได้ไกลสุด ๆ หรือเอาแชมป์มาครองกันได้เลยนั้น “รัสเซีย” เจ้าภาพปีนี้แหละ มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว ผมนี่พูดเลย !!!