มีเงิน 20,000 เที่ยวรัสเซียได้ด้วยเหรอ ???
เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศรัสเซีย เปิดฟรีวีซ่าสำหรับ คนไทย โดยสามารถพักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน และเนื่องจาก รัสเซีย เป็นประเทศที่กว้างใหญ่และมีเมืองท่องเที่ยวอยู่หลายเมืองด้วยกัน ดังนั้นสิ่งแรกที่เราจะต้องวางแผนก็คือสถานที่ท่องเที่ยวหรือเมืองท่องเที่ยวนั่นเอง
ใครลางานได้ไม่เยอะก็อาจจะใช้เวลาท่องเที่ยวอยู่ในเมืองใดเมืองหนึ่ง หรือหากใครลางานได้หลายวันเพียงพอสำหรับการเดินทางข้ามไปเมืองอื่นๆ ก็อาจจะใช้เวลาท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ ได้ เพราะ รัสเซีย มีระบบการขนส่งระหว่างเมืองที่สะดวกสบายมากที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
การเริ่มต้นเที่ยว รัสเซีย ที่สะดวกที่สุดก็คือการนั่งเครื่องบินไปลงที่ เมืองมอสโก และเริ่มต้นท่องเที่ยวในเมืองหลวงแห่งนี้ก่อน จากนั้นหากใครอยากจะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่น ๆ ของรัสเซีย ที่เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวก็ได้แก่ ซุสดาล, โนฟโกรอด และ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
แต่วันนี้เราจะไปที่ เมืองมอสโก เท่านั้น เพราะเมื่อหันมามองกระเป๋าตัง ก็ต้องพบเรื่องที่น่าเศร้าเสียเหลือเกิน เพราะว่าดันมีงบอยู่แค่ 20,000 บาท (อุตส่าห์เก็บมาตั้งหลายเดือน 555+) ฉะนั้นเราไปดูกันว่า “งบเท่านี้ จะเที่ยวได้เท่าไหน???”
อันดับแรกเราจะแพลนว่าไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เราควรจะต้องเตรียมตัวและวางแผนให้พร้อมก่อน และที่สำคัญเป็นการควบคุมงบให้อยู่ในจำนวนที่เราต้องการอีกด้วย เรื่องแรกเลยคือ…..
เรื่องของการแต่งกาย ด้วยความที่ประเทศรัสเซียมี 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน มิถุนายน – สิงหาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15-20 องศา ช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในรัสเซียคือเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 25-30 องศา
ฤดูใบไม้ร่วง กันยายน – พฤศจิกายน ภูมิประเทศในช่วงเวลานี้จะสวยงามเป็นพิเศษ เพราะเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 10 องศา และอุณหภูมิจะลดลงไปเรื่อยๆ ในเดือนพฤศจิกายนอาจเริ่มมีหิมะตก
ฤดูหนาว ธันวาคม – กุมภาพันธ์ มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ -10 องศา หิมะจะตกหนักในช่วงกลางเดือนมกราคม – เดือนกุมภาพันธ์ ถนนและอาคารบ้านเรือนจะปกคลุมไปด้วยหิมะ
ฤดูใบไม้ผลิ มีนาคม – พฤษภาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 5 องศา น้ำแข็งที่เกิดจากหิมะเริ่มละลาย อากาศอบอุ่นขึ้น
และหลังจากได้พิจารณาจากข้อมูลด้านบนแล้ว ก็ขอแนะนำเพื่อน ๆ เลยว่าให้ไปในช่วงที่อุ่นที่สุด เพราะนั่นหมายถึงเราจะได้ไม่ต้องหมดงบไปกับการซื้อเสื้อผ้าจำพวก เสื้อโค้ท ลองจอน หมวก ถุงมือ หรือพร็อบอื่น ๆ และถ้าเราเลือกไปช่วงอากาศ อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 25-30 องศา รับรองว่าอากาศกำลังดีเลยล่ะ สามารถแต่งตัวได้เหมือนเราอยู่ประเทศไทยเลยล่ะ (เห็นมั้ย แค่นี้ก็ประหยัดไปเลยตั้งเยอะแล้ว 555+)
ส่วนเรื่องต่อไปก็คือ การเดินทาง แน่นอนว่าการเดินทางไปยัง ดินแดนหมีขาว เราจะไปกันด้วยเครื่องบิน ดังนั้นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ (ในการประหยัดงบ) คือการหาตั๋วช่วงโปรโมชั่นให้ได้ เพราะถ้าหากพลาดไม่ได้ตั๋วในช่วงโปร รับลองว่างบที่เราตั้งไว้ มีหวังได้ไปแต่ รัชดา เท่านั้น
ซึ่งเราก็จะมาแนะนำกัน ให้ลองดูจากเว็บหรือแอปพลิเคชั่นที่สามารถหาตั๋วถูก ๆ ให้เราได้ และถ้าโชคดีฟ้าเป็นใจเพื่อน ๆ ก็อาจจะได้ค่าตั๋วไปกลับเพียงแค่ 7,000 บาท บวกกับค่าภาษีและค่าธรรมเนียมซึ่งรวมแล้วไม่เกิน 10,000 บาทจ้าาาาาา (ยัง…ยังอีก ยังไม่รีบเปิดคอมเปิดโทรศัพท์เข้าไปดูตั๋วอีกเหรอ???)
เมื่อเราได้ตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว อันดับต่อไปก็สำคัญไม่แพ้กัน เมื่อไปเที่ยวก็จำเป็นจะต้องมีที่ซุกหัวนอน นั่นก็คือที่พัก หลายคนอาจจะกังวลใจไม่น้อยเลย เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เพราะกลัวว่ามันจะแพงและทำให้งบที่จำกัดจำเขี่ยจะบานปลาย แต่ไม่ต้องห่วงไป เพราะเมื่อเราลองเข้าไปเช็คที่พักไม่ว่าจะเป็น Booking.com หรือว่า Agoda ก็จะพบว่า มีที่พักที่ทำเลดี ๆ และราคาถูกไม่น้อยเลย
แต่ถ้าจะให้ดีและถูกมากที่สุดในงบที่เรามี ก็ควรจะเลือกพักใน โฮสเทล เพราะว่าราคาจะดีมาก ๆ ประมาณ 300-1,000 ก็โอเคแล้ว แต่ถ้าหากเราอยากจะอยู่พักตามโรงแรม ก็จะตกคืนละประมาณ 3,000 นะจ๊ะ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจจะพักกันใน โฮสเทล ในตัวเมือง มอสโก จำนวน 2 คืน ก็จะเป็นงบประมาณ 1,000 บาทเท่านั้น (รวมค่าภาษีและธรรมเนียมแล้วก็ไม่เกิน 1,500 บาทแน่นอน)
มาคิดงบที่ใช้ก่อนที่จะไปถึง ที่นั่นกันก่อนดีกว่าว่ามีค่าอะไรและหมดไปเท่าไหร่บ้างแล้ว ???
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 10,000 บาท (ตีเป็นเลขกลม ๆ ไปแล้วกันนะ)
- ค่าที่พัก 1,500 บาท
- ค่ารถออกจากบ้าน 500 บาท
- ค่าอาหารรองท้อง 100 บาท
โดยทั้งหมดนี้เป็นเงินจำนวน 12,100 บาท และเมื่อต่อไปเราก็จะได้คำนวนเอาจำนวนเงินที่เหลือไปแลกเป็นเงิน รูเบิล ตีเป็นเลขกลม ๆ ไปสัก 7,000 บาทก็แล้วกัน ซึ่งเราจะได้เป็นเงินรูเบิลอยู่ทีจำนวนประมาณ 13,000 รูเบิล (ซึ่งจะพอหรือไม่ ต้องติดตามกันไปต่อจ้า) แต่ถ้าใครอยากจะแลกเป็นเงิน ดอล์ล่าร์ หรือ ยูโร ไปเผื่อไว้ก็ไม่ว่ากันนะจ๊ะ
Day 1
เมื่อเดินทางถึงประเทศ รัสเซีย เราจำเป็นจะต้องสัญจรเพื่อไปยังที่พักโดยส่วนใหญ่ที่นี่จะใช้เป็น รถไฟใต้ดิน โดยขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากมากนัก (เพราะว่าเมนูและป้ายบอกทางส่วนใหญ่เริ่มมีภาษาอังกฤษแล้ว) โดยค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อเที่ยวก็จะอยู่ที่ 460 รูเบิล (250 บาท)
อันนี้น่าจะเป็นอย่างสุดท้ายที่ทำให้เราสามารถเที่ยว รัสเซีย ได้อย่างสำราญใจแล้วล่ะ นั่นก็คือ ซิมโทรศัพท์+อินเตอร์เนท โดยซิมที่นั่นหาซื้อกันง่ายในราคาประมาณ 600 รูเบิล (300 บาท) เพียงมองหาร้านขายมือถือทั่ว ๆ ไป เข้าไปในร้านแล้วยื่นมือถือให้พร้อมกับพาสปอร์ต เพื่อทำการลงทะเบียนและสมัครโปรโมชั่น เท่านี้ก็ร่อนได้อย่างสบายใจแล้ว 555+
จากสนามบินเดินทางไปโรงแรมนั้นก็ง่ายแสนง่าย โดย พยายามเดินมองตามหาป้ายในสนามบินไปนะครับ เมื่อเจอแล้วก็ตามไปเรื่อยๆ จนเจอเครื่องซื้อบัตรซึ่งมีภาษาอังกฤษด้วย หลังจากที่ได้นั่งรถไฟจากสนามบินเข้าเมืองมาแล้ว การเดินทางจากเมืองไปโรงแรมนั้นก็จำเป็นต้องต่อรถไฟฟ้าใต้ดินกันอีกหน เมื่อก็ออกมาจากรถไฟใต้ดินมาก็จะเห็นโรงแรมซึ่งอยู่ในระยะเดินไม่ไกล
Day 2
ภารกิจวันนี้ คือ จัตุรัสแดง เป็นจัตุรัสกลาง กรุงมอสโก เพราะถนนสายสำคัญทุกสายของ กรุงมอสโก จะวิ่งตรงออกจาก จัตุรัสแดงและที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งของ มหาวิหารเซนต์เบซิล และ หลุมฝังศพของวลาดิมีร์ เลนิน โดยสามารถเดินทางด้วยการนั่งรถไฟใต้ดินไป และติด ๆ กันขาช็อปที่คันไม้คันมือก็ไปเดินเล่นได้ที่ ห้างสรรพสินค้ากุม ซึ่งเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดใน กรุงมอสโก เลยล่ะ
และป้ายต่อไปที่เราจะไปกัน ถือเป็นไฮไลท์ประจำวันเลยนั่นคือ มหาวิหารเซนต์บาซิล เป็นวิหารแบบรัสเซียโบราณ อันได้รับอิทธิพลมาจาก ไบแซนไทน์ ที่เป็นโดมทรงหัวหอมกับสถาปัตยกรรมที่เรียกกันว่า รัสเซียนกอธิก หอคอยสูงรูปกระโจมเป็นอิทธิพลจากยุโรปตะวันตก จึงกลายเป็นหอคอยสูงรูปแท่งเทียนกำลังลุกไหม้บนปลายลำเทียน ส่งความโชติช่วงชัชวาลย์เป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าบนสวรรค์ ซึ่งในส่วนนี้จะมีการเก็บค่าเข้าคนละ 350 รูเบิ้ล (180 บาท)
หลังจากนั้นก็เราก็จะไปต่อกันที่ ตลาดอิสไมลอฟสกี้ ซึ่งเป็นแหล่งขายของจิปาถะ เสื้อผ้า อาหาร ของฝาก ของชำร่วย อาทิ รองเท้า เสื้อหนาว นาฬิกา รูปวาด ไม้แกะสลัก ตุ้กตาแม่ลูกดก อัมพัน ผ้าพันคอ และอาหารเครื่องดื่มมากมาย ราคาต่าง ๆ สามารถต่อรองได้ เดินทางไปโดยรถไฟใต้ดินและเดินเท้าอีก 15 นาที ซึ่งหากใครที่อยากได้ของฝากถูก ๆ ดี ๆ ไปให้เพื่อนฝูงและญาติ ๆ ที่บ้านก็แนะนำให้มาที่นี่ได้เลย แต่ว่าอาจจะรีบมาสักหน่อย เพราะว่าร้านค้าบริเวณนี้จะปิดกันค่อนข้างเร็ว
หลังจากช็อปเสร็จ ก็เดินเล่นถ่ายรูปเก็บความงามและบรรยากาศรอบ ๆ ได้ต่อเลย แล้วก็ไปหาอาหารเย็นทานสักหน่อย อาหารการกินของคนรัสเซีย อาจจะแตกต่างจากบ้านเราพอสมควร ใครที่รับไม่ได้กับอาหารต่างชาติ จะแบกมาม่า ปลากระป๋องมาด้วยก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าขี้เกียจก็แนะนำให้เดินเข้า แม็คโดนัลด์ เพราะว่าถือเป็นอาหารที่ทานได้ง่าย ราคาก็พอรับได้อีกด้วย
Day 3
เรามาเริ่มต้นวันที่ 3 ด้วยการเดินทางไปยัง ศาสนสถานเซอร์เกอเยฟ โปสาด ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของชาวรัสเซีย โดยสถานที่แห่งนี้จะอยู่ห่างจากเมืองออกไปไกลพอสมควร เป็นระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร หากเดินทางด้วยรถไฟก็จะใช้เวลาไม่นานมากนักประมาณ 1. 30 ชั่วโมง โดยค่ารถไฟสำหรับเดินทางไปที่นี่แบบไป-กลับ อยู่ที่คนละ 304 รูเบิ้ล (150 บาท) ซึ่งใครจะไปที่นี่อาจต้องเผื่อเวลาการเดินทางและการชมสถานที่สักนิด เพราะว่าอาจจะหมดเวลาไปเกือบทั้งวัน
เมื่อเดินทางกลับจาก ศาสนสถานเซอร์เกอเยฟ โปสาด ก็เป็นเวลาพลบค่ำซะแล้ว แต่เราจะสามารถไปต่อกันได้อีกก็คือการแวะไปดูการแสดงของ คณะละครสัตว์ ที่โด่งดังและขึ้นชื่อของที่นี่ เพื่อน ๆ สามารถเลือกชมได้ตามที่เดินทางสะดวกได้เลย
แต่ครั้งนี้เราไปกันที่ ละครสัตว์มอสโก ที่มีทั้งเหล่าสัตว์เลี้ยงน้อยใหญ่ ได้แสดงท่าทางและโชว์สุดแสนฉลาดให้เราได้ชม รวมถึงยังมีโชว์จากนักกายกรรมอีกด้วย ตั๋วค่าเข้าก็เริ่มตั้งแต่ 400 – 3,500 รูเบิล ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่นั่งที่เราเลือก (เลือก 400 รูเบิลเป็นเงิน 200 บาทไทย ก็ดูสนุกและมองเห็นเช่นกัน) การแสดงเริ่มตั้งแต่ 1 ทุ่ม ไปจนถึง 3 ทุ่ม
Day 4
วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของเราใน กรุงมอสโก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าภารกิจของเราจะจบลงแล้ว เพราะไฟลท์บินกลับได้ของเราก็มืด ๆ ค่ำ ๆ นู่นเลย ยังทำให้เรามีเวลาไปแวะเยี่ยมชมสถานที่อื่น ๆ อีกหลายที โดยที่แรกสำหรับวันนี้ก็คือ มหาวิหารพระคริสต์ผู้ช่วยชีวิต การเดินทางก็ไปง่าย ๆ ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน
หลังจากนั้นก็ไปล่องเรือกันต่อ โดยเส้นทางก็อยู่ใกล้ ๆ เลยเพียงแค่เดินอ้อมไปด้านหลังวิหาร ก็จะเจอซุ้มที่ขายตั๋วล่องเรือ สนนราคาคนละ 350 รูเบิล (180 บาท) ระยะเวลาในการล่องเรือชมเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงด้วยกัน ต่อจากนั้นก็ไปเดินเที่ยวเล่นชิล ๆ หาอะไรทานได้ที่ ถนนอารบัด แต่แนะนำว่าอย่าอยู่ที่นี่นาน เพราะว่าสิ่งเร้าและของกินที่นี่ค่อนข้างมีราคาแพงกว่าที่อื่น ๆ
และสถานที่ต่อไป เราไปกันที่ พระราชวังเครมลิน ที่ตั้งอยู่ตรงจตุรัสแดง เราต้องเสียค่าเข้าชมด้านในคนละ 500 รูเบิล (250 บาท) ซึ่งด้านในรั้วพระราชวังเป็นทั้งที่ตั้งของวิหารและพิพิธภัณฑ์ด้วย โดยต้องระมัดระวังสักนิดนึงสำหรับการถ่ายภาพ เพราะ ภายในอาคารเหล่านี้ไม่อนุญาติให้เราเก็บภาพได้
เท่านี้ก็เล่นเราเหนื่อย เมื่อยขาลากได้แล้วสำหรับวันนี้ มีเวลาเหลืออยู่แต่ว่าเราพอแล้ว ขอเอาเวลาไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับ หาช้อปปิ้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อที่สนามบินเอาดีกว่า
จบลงไปเรียบร้อยสำหรับทริปเที่ยวเมืองมอสโก ประเทศรัสเซีย ด้วยงบเพียง 20,000 บาท 4 วัน 3 คืน ถือว่าเป็นทริปที่ยอดเยี่ยมและสนุกไปกับสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงมอสโก ที่ถือว่ามีความสวยงามและเป็นอัตลักษณ์มาก ๆ จึงอยากบอกเพื่อน ๆ ที่ยังลังเลใจอยู่ว่า จะไปมั้ยนะ ถ้าอยากจะมาเที่ยวที่นี่ เราขอแนะนำเลยว่า “ต้องมา” !!! และก่อนจะจากการไป เราอย่าลืมมาสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดกันก่อนดีกว่า
สรุปค่าใช้จ่ายกันอีกรอบ หลังจบทริปแล้ว
- เงินที่ใช้จ่ายก่อนจะมาถึง รัสเซีย 12,100 บาท
- ค่ารถไฟไป-กลับสนามบิน 500 บาท
- ซิมโทรศัพท์ + อินเตอร์เนท 300 บาท
– ค่าเข้าชม มหาวิหารเซนต์บาซิล 180 บาท
– ค่ารถไฟไป-กลับ ศาสนสถานเซอร์เกอเยฟ โปสาด 150 บาท
- ค่าเข้าชมละครสัตว์ 200 บาท
- ค่าล่องเรือ 180 บาท
- ค่าเข้าชม พระราชวังเครมลิน 250 บาท
- ซื้อของฝากที่ ตลาดอิสไมลอฟสกี้ 950 บาท
- ซื้อของทานเล่นที่ ถนนอารบัด 325 บาท
- อาหารเช้า+กลางวัน+เย็น 4 มื้อ = 2000 บาท
รวมทั้งหมดแล้วจะเป็นเงิน 12,100 (ใช้ก่อนมา) + 5,035 (มาถึงรัสเซีย) = 17,135 – 20,000 = เหลือเงินค่ารถกลับบ้านอีก 2,865 บาทจ้าาาาาาา
ปิดท้ายด้วย 4 ทริคที่ควรรู้
- รัสเซียใช้สกุลเงินรูเบิล สามารถแลกจากประเทศไทยไปหรือแลกเงินดอลลาร์ เงินยูโรแล้วไปเปลี่ยนเป็นเงินรูเบิลที่รัสเซียก็ได้
- คนรัสเซียใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาหลัก แต่คนรุ่นใหม่ก็เริ่มพูดภาษาอังกฤษกันได้มากขึ้น และป้ายสัญลักษณ์ต่างๆ ก็มีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ตลอด ดังนั้นการสื่อสารจึงไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากนัก
- รัสเซียใช้ระบบไฟฟ้า 220 โวลต์ เหมือนประเทศไทย แต่ปลั๊กเป็นแบบหัวกลม 2 ขา ดังนั้นควรพก Universal Adaptor ไปเพื่อใช้ในการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย
- ยาประจำตัวหรือยาสามัญประจำบ้านเป็นสิ่งที่ควรพกติดตัวไป เพราะหากไปซื้อที่รัสเซียจะแพงกว่าที่ประเทศไทยค่อนข้างมาก