5 ปัจจัย ที่ญี่ปุ่นอาจเข้ารอบ 8 ทีม ฟุตบอลโลก 2018
หากจะมองถึงกลุ่มที่เบาที่สุดในฟุตบอลโลกหนนี้คาดว่าหลาย ๆ คนคงชี้มาที่กลุ่ม H เพราะทีมในกลุ่มนั้นประกอบไปด้วยทีมชาติ โคลอมเบีย, ทีมชาติโปแลนด์, ทีมชาติเซเนกัล และทีมชาติญี่ปุ่น
และหากจะมองกันแบบสุดขั้วลึกลงไปแล้วใคร ๆ ก็ตามมองว่าทัพซามูไรอย่างทีมชาติญี่ปุ่นคงเป็นทีมรองบ่อนที่สุดของกลุ่ม และไม่มีใครคิดหรอกว่าพวกเขาจะเป็นตัวแทน 1 เดียวจากทวีปเอเชียที่เข้าไปสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อพวกเขาเปิดหัวมาในนัดแรกพวกเขาพลิกล็อกเอาชนะทีมชาติโคลอมเบียไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 นัดที่สองพวกเขาต้องตกเป็นรองทีมชาติเซเนกัลถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่จนแล้วจนรอดก็สามารถมีคะแนนออกจากสนามมาได้ และนัดสุดท้ายถึงแม้จะแพ้โปแลนด์ 1-0 ในนัดสุดท้ายทัพซามูไรก็ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จด้วยกฎ Fair play ไปเจอกับเบลเยี่ยมในรอบ 16 ทีม และเราจะมาดูกันว่า 5 ปัจจัยหลักที่อาจทำให้พวกเขาทะลุเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกหนนี้คืออะไร…???!!!
1) เจลีกแข็งแกร่ง ผลิตนักเตะสู่ตลาดโลก!
การที่ขุนพลซามูไรมาได้ไกลถึงขนาดนี้ เรียกว่าเป็น 1 เดียวจากเอเชียที่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายมาได้ อาจเพราะนักเตะญี่ปุ่นเกือบ 90% เป็นนักเตะที่มีประสบการณ์จากการเล่นในลีกใหญ่ในต่างแดน เช่น อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ตุรกี สเปน และเยอรมัน รวมถึงความแข็งแกร่งของลีกภายในประเทศญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน
เป็นที่รู้โดยทั่วกันสำหรับคอบอล ว่าทีมจากเจลีกแข่งแกร่งแค่ไหน ใน 10 ฤดูกาลหลังสุด มีการเปลี่ยนทีมแชมป์ลีก แบบไม่ซ้ำกันถึง 5 ทีม แถมบอลถ้วยใหญ่อย่าง AFC Champions Leagues ทีมตัวแทนจากญี่ปุ่นก็ทะลุไปถึงรอบตัดเชือกตลอด ส่วนเรื่องนักเตะส่งออกของพวกเขา ดูกันง่าย ๆ ก็คือ 10 ผู้เล่นตัวจริงจาก 11 คน เป็นผู้เล่นที่ไปลงเตะในต่างแดนทั้งสิ้น และทุกคนเป็นตัวจริง ไม่ได้นั่งชิวข้างสนาม การที่นักเตะตัวจริงของพวกเขากว่า 90% มีประสบการณ์ลงเตะที่ลีกชั้นนำของยุโรป ต้องเผชิญหน้ากับนักเตะที่มากความสามารถในทุก ๆ สัปดาห์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พวกเขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในบอลโลก 2018 หนนี้
2) ฟอร์มในสนาม สำคัญกว่าความป็อป!
นักเตะญี่ปุ่นส่วนมากในชุดนี้เป็นตัวที่ค้าแข้งในในยุโรป ตัวหลักตัวเก๋ามีให้เลือกใช้งานเพียบ อย่างไรก็ดีผู้เล่นบางคนที่เป็นตัวหลักในรอบคัดเลือกกลับต้องมารับบทบาทเป็นตัวสำรองในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายหนนี้ไม่ว่าจะเป็นเคซุเกะ ฮอนดะ, ชินจิ โอกาซากิ รวมไปถึงตัวที่เล่นในเจลีกอย่างโทโมอากิ มากิโนะ เพราะว่าเฮดโค้ชอย่างอะกิระ นิชิโนะ เลือกทีมที่เข้ากับระบบการเล่นของเขา และเลือกจากฟอร์มการเล่นในปัจจุบันมากกว่ายึดติดระดับการเล่นในอดีตที่ผ่านมานักเตะอย่างยูยะ โอซาโกะ จริง ๆแล้วถือว่าเป็นผู้เล่นที่เป็นตัวเลือกรอง ๆ มาก่อนด้วยซ้ำในตำแหน่งกองหน้า แต่เพราะในช่วงอุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลกเขาได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงแถมทำประตูได้อีก เจ้าตัวเลยได้รับเลือกให้ออกสตาร์ทเป็น 1 ใน 11 คนแรกมาตั้งแต่นัดแรกแถมเขายังเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยใส่ทีมชาติโคลอมเบียอีกด้วย
3) ชนะด้วยความดี คะแนนที่มีคือความพยายาม
ทีมชาติญี่ปุ่นไม่ใช่ทีมเต็งที่จะเข้ารอบอยู่แล้วตั้งแต่ผลจับฉลากออกมา เพราะพวกเขาต้องมาอยู่กับทีมอย่างโคลอมเบีย และโปแลนด์ ที่ใคร ๆ ก็มองว่าโอกาสเข้ารอบสดใสเอามาก ๆ แถมยังมีตัวสอดแทรกอย่างทีมชาติเซเนกัลอีก แต่พอลงเตะไป 2 นัดแรก ทัพซามูไรแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ชุดนี้ไม่ธรรมดาเลย ในนัดแรกที่เจอกับเหล่าผู้เล่นของดินแดนโคเคน พวกเขาได้เปรียบตัวผู้เล่นตั้งแต่ยังไม่ถึง 5 นาทีแรกแถมตัวผู้เล่นยังมากกว่าอีก 1 คน อย่างไรก็ดีในช่วงท้ายครึ่งแรกพวกเขากลับเจอยอดทีมจากอเมริกาใต้บดซะเละจนโดนทีเด็ดจากลูกฟรีคิกตีเสมอไป 1-1 รูปเกมเป็นรองอย่างสุด ๆ แม้ตัวจะมากกว่า ใคร ๆ ก็คิดว่าไม่น่าจะได้ 3 แต้มในนัดนี้ อย่างไรก็ดีครึ่งหลังพวกเขาขึงเกมรุกเข้าใส่ทีมชาติโคลอมเบียซะอยู่หมัด จนมาได้ประตูชัยคว้า 3 แต้มสำคัญไปได้อย่างสุดช็อก ส่วนในนัดที่ 2 ที่ต้องเจอเซเนกัลพวกเขาต้องตามหลังถึง 2 หน แต่ก็ใจสู้ตีเสมอได้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา แถมจังหวะเข้าทำหลาย ๆ ครั้งในครึ่งหลังของพวกเขาน่ากลัวเอามาก ๆ เกมนี้เซเนกัลว่าเล่นดีแล้ว แต่การที่ญี่ปุ่นไม่ไปบ้าจี้เปิดเกมบุกแลกอะไรมากมาย เล่นอย่างอดทนและมีวินัย พอมีจังหวะค่อยโฉบโจมตีนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่พอใจในที่สุด
รวมถึงนัดสุดท้ายที่แม้จะแพ้โปแลนด์ 1-0 แต่ทัพซามูไรก็ดีพอที่จะผ่านเข้ารอบได้สำเร็จด้วยกฎแฟร์เพลย์เหนือเซเนกัล (ตัดสินกันที่ทีมใดได้ใบเหลือง-ใบแดงน้อยกว่ากันเข้ารอบไป) ซึ่ง ตลอด 3 เกม ญี่ปุ่นได้ใบเหลืองแค่ 4 ใบ ขณะที่เซเนกัล โดนใบเหลืองทั้งหมด 6 ใบ จึงทำให้ญี่ปุ่นได้ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกได้สำเร็จ นอกจากนี้ ทีมชาติญี่ปุ่น ยังกลายเป็นชาติแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่เข้ารอบด้วย กฎแฟร์เพลย์ สถิติการทำฟาวล์ที่น้อยมาก โดยใน 3 เกมของรอบแบ่งกลุ่ม ญี่ปุ่นเสียฟาวล์ไป 28 ครั้งเท่านั้น น้อยที่สุดในบรรดา 32 ทีมที่มาเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้อีกด้วย ขอคากาวะ เอ้ย! คาราวะ ในความเป็นทีมสุภาพบุรุษลูกหนังจริง ๆ สุโค่ย!
4) สมาคมจริงจังมุ่งพัฒนา ไม่ได้มาแค่หวังโกยเงิน!
ญี่ปุ่นชุดนี้ไม่ได้ผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยฝีมือของกุนซือคนปัจจุบันอย่าง อากิระ นิชิโนะ หรอกนะ เพราะว่าจริง ๆ แล้ว วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช เทรนเนอร์มากประสบการณ์ชาวบอสเนียนี่แหละที่เป็นคนนำทีมชาติญี่ปุ่นผ่านรอบคัดเลือกเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายในครั้งนี้ได้
ฮาลิลฮอดซิชได้เข้ามาคุมทีมชาติญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2015 แต่หลังจากผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งนี้ได้ ทางสมาคมตัดสินใจปลดกุนซือรายนี้ในเวลาต่อมา เพราะ เจ้าตัวเริ่มมีปัญหากับนักเตะในทีมหลายคน บวกกับผลงานอันย่ำแย่ รวมไปถึงโดนแฟนบอลวิจารณ์ทั้งเรื่องการจัดตัวผู้เล่น และการวางแท็คติคอีกด้วย เกมสำคัญ ๆ ในรอบคัดเลือกบางเกมเจ้าตัวเลือกดร็อปทั้ง ชินจิ คากาวะ, เคซุเกะ ฮอนดะ รวมไปถึงชินจิ โอกาซากิ ซึ่งต่างทำให้คนส่วนมากของแดนปลาดิบงงกันเป็นไก่ตาแตก ด้วยเหตุผลต่างๆ ทำให้ทางสมาคมมองว่าจะส่งผลต่อเป้าหมายของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น ที่จะพัฒนาโอกาสในการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก แม้ว่ามันจะมีโอกาสแค่ 1 หรือ 2 เปอร์เซ็น
หลังจากนั้นสมาคมได้ทำการแต่งตั้ง อากิระ นิชิโนะ แม้กุนซือใหม่รายนี้จะไม่ได้ยุ่งเกียวกับการคุมทีมมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว และยังไม่เคยคุมทีมชาติชุดใหญ่มาก่อน แต่อดีตเคยเป็นตำนานพาญี่ปุ่นไปล้าบราซิล ในโอลิมปิกปี 1996 และเคยพาสโมสรกับบะ โอซาก้า คว้าแชมป์เจลีก ปี 2005 และ เอเอฟซี แชมป์เปียนลีก ปี 2008
5) ฝันให้ไกลไปให้ถึง!
สมาคมฟุตบอลแห่งชาติญี่ปุ่น หรือ JFA ได้เขียนปฏิญญาอันแน่วแน่ไว้ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับเป้าหมายที่ถูกวางไว้ไปจนถึงปี 2050 ซึ่งมีข้อความสำคัญดังนี้
คำปฏิญญา JFA 2015″ มีเป้าหมายใหญ่ 3 อย่างที่ต้องบรรลุในปี 2015
1) สมาคมฟุตบอลแห่งชาติญี่ปุ่นต้องติดอันดับท็อป 10 ของโลก
2) จำนวนแฟนบอล รวมถึงบุคลากรต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล ต้องมีจำนวนเพิ่มขึ้น 5 ล้านคน
3) ทีมชาติญี่ปุ่นต้องอยู่ในอันดับ FIFA Ranking ท็อป 10 ของโลก
คำปฏิญญา JFA 2050″ มีเป้าหมายใหญ่ 2 อย่างที่ต้องบรรลุในปี 2050
1. แฟนฟุตบอลชาวญี่ปุ่น ที่รักในกีฬาฟุตบอลอย่างแท้จริง จะต้องมีจำนวน 10 ล้านคน ให้จงได้ในปี 2050
2. ญี่ปุ่นต้องได้เป็นเจ้าภาพบอลโลกในปี 2050 และทีมชาติญี่ปุ่นต้องได้แชมป์โลกด้วย!
จนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้ว 13 ปี จากปี 2005 ที่พวกเขาวางเป้าหมายของผลงานไว้ และสามารถบรรลุเป้าหมายมาแล้วแน่ๆ 1 ข้อ คือการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2018 หลังเคยผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ก่อนหน้านี้มาแล้ว 2 ครั้งคือในปี 2002 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพแพ้ต่อตุรกี 0-1 และปี 2010 ที่พ่ายต่อปารากวัยในการดวลจุดโทษ 3-5 หลังเสมอในเวลา 120 นาที 0-0
เห็นแค่นี้ก็ขนลุกแล้วครับท่านผู้ชม นิยามคำว่า เป้าหมายมีไว้พุ่งชน เห็นภาพชัดก็วันนี้นี่เอง ><
ดั่งท่อนฮุกเพลงของน้องๆ BNK48 ที่ว่า “คำว่าพยายามไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ” จริงๆ รวมทั้งความมีวินัยที่สม่ำเสมอ เหนือสิ่งอื่นใด ความเป็นทีมเวิร์ค! ไล่ตั้งแต่สมาคม นักกีฬา และแฟนบอลญี่ปุ่น ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกัน เพราะพวกเขาทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างมันขึ้นมา และด้วยแรงสนับสนุนที่ดีจากทุกฝ่ายนี่เอง จึงทำให้ทีมชาติญี่ปุ่นมาได้ไกล และแข็งแกร่งขนาดนี้ และเราเชื่อว่าซักวันฝันของคนญี่ปุ่นต้องเป็นจริง ญี่ปุ่นจะได้เป็นแชมป์บอลโลกอย่างแน่นอน สู้ต้อไปนะ ทาเคชิ เฮ้!